วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก


หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
 วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี

คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ เล่าว่า เมื่อคืนนี้ได้นิมิตว่าตัวเองได้เหาะขึ้นไปคลอดลูกบนอากาศ แต่ไม่เหมือนกับที่ชาวโลกเขา คลอดลูก ไม่มีเลือดไม่มียาง ไม่สกปรก เป็นลูกผู้ชาย ผิวพรรณเหลืองดั่งทองคำ มีรัศมีออกโดยรอบ 

ขณะอยู่ในท้องแม่ก็ใสเหมือนกับมองเข้าไปในแก้ว คลอดออกมาแล้วก็ลุกกราบได้ทันที พร้อมกับ บอกชื่อว่า“ท้าวธรรมกถึก”

คุณแม่ถามว่า “ทำไมจึงอยากเกิด” ได้รับคำตอบว่า

“จะลงมาบำเพ็ญบารมี จึงมาขอเกิดกับคุณแม่ก่อน ไม่ประสงค์จะเกิดในครรภ์ของมนุษย์ ขอเป็นลูกของคุณแม่” 

ขณะพูดคุยกันอยู่นั้น พระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก็มารับทารกทองคำนั้นไปเลี้ยงไว้ ต่อไปภายหน้าเด็กคนนี้คงต้องได้บวชและอยู่รับใช้ใกล้ชิดท่าน

คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำพยากรณ์ไว้ โดยบอกถึงชื่อพ่อ-แม่ ของเด็กทารกคนนั้น และติดตามถามข่าวว่าพ่อ-แม่ ของเด็กได้ลูกชายจริงไหม และยังบอกอีกว่า เด็กจะอยู่ได้เพียง 3 วัน แล้วจะมีผู้มาแทน

เหตุการณ์ตามนิมิตก็เป็นจริงทุกอย่าง คือเมื่อเด็กทารกคลอดแล้ว ก็ร้องอุแว้เกือบตลอดทั้ง 3 วัน จนเย็นวันที่ 3 ก็สลบไป พ่อ-แม่ และญาติของทารกก็ว่าวันนี้เย็นค่ำมืดแล้ว 

พรุ่งนี้ค่อยเอาไปฝัง จากนั้นได้เอาผ้าหุ้มห่อเด็กเอาไว้ พอรุ่งอรุณวันใหม่ ซึ่งเป็นความหวังครั้งสุดท้ายของผุ้เป็นพ่อ-แม่ ผู้เป็นแม่ก็บีบน้ำนมจากเต้านมใส่ช้อนแล้วใช้สำลีชุบน้ำนมค่อย ๆ แตะที่ริมฝีปากของทารก และน้ำนมได้ซึมไหลเข้าสู่ปากลงสู่ลำคอ จนที่สุด ทารกก็ขยับปากขยับคอได้ จึงรู้ว่ายังไม่ตาย

เมื่อครบกำหนดวันออกไฟแล้ว พ่อ-แม่ ของเด็กรีบพาเด็กไปกราบคุณแม่ทันที คุณแม่พูดว่า

“ไม่ต้องเอามาให้แม่หรอก เขามาหาก่อนที่จะไปอยู่กับพวกเธอแล้ว เลี้ยงเขาให้ดี เขามาอาศัยร่างที่ได้จากโยม จึงนับว่าเป็นลูกของโยม ต่อไปภายหน้าเขาจะได้บวชค้ำชูพระพุทธศาสนานิมิตเทพบุตรมาขอเป็นลูก

นิมิตที่เป็นจริงของคุณแม่อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องที่เทพบุตรตนหนึ่งจะจุติมาเกิดเพื่อสร้างบุญบารมีในบวรพระพุทธศาสนาสืบธรรมไว้ โดยคุณแม่เล่าว่า

“ก่อนที่จะมาเกิด เทพบุตรตนนั้นได้ลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อมาเสาะหาที่เกิด คือเสาะหาผู้จะได้เป็นพ่อเป็นแม่ ชาติตระกูลและลำดับการเป็นลูก แต่เป็นเพราะบุญเก่าส่งผลให้ จึงได้มาพบปะกันตอน
ที่อยู่ภูเก้า”

จนที่สุดผู้เป็นแม่ตั้งท้องได้ 6 เดือน พระอินทราธิราชผู้เป็นหัวหน้าเทวดาอยู่บนสวรรค์พร้อมเทวดาหมู่มาก พากันนำเทพบุตรตนนั้นมาถวาย วันที่หมู่เทวดาเอามาส่งนั้น มีแสงสว่างไสวทั่วไปหมดในแถบถิ่นนั้น แต่รู้ได้เฉพาะคุณแม่กับคุณแม่แดง (แม่ชีมะแง้ ผิวขำ) แต่คุณแม่แดงท่านไม่ได้พูดให้ฟัง ในตอนหลังจึงได้พูดกับพระอาจารย์ผู้ใหญ่ 

ท่านจึงว่า “สามเณรรูปนี้ได้เห็นตั้งแต่ลงมาเสาะหาที่เกิด จึงได้ชวนให้มาเกิดกับ........”

วันนั้นเทพบุตรลงมาแล้วก็บอกว่า “จะมาขอเป็นลูกของคุณแม่ชี” คุณแม่ก็บอกว่า แม่บวชแล้วไม่อาจที่จะให้ใครมาเกิดด้วยได้ หากจะเกิดก็ให้ไปเกิดเข้าครรภ์ของนาง..............ภรรยาของนาย.............ให้เฝ้าครรภ์เอาไว้ เกิดกับสามีภรรยาคู่นี้แหละ ต่อไปภายหน้าก็จะได้บวชในพระพุทธศาสนาตามประสงค์

ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็เป็นชาวไร่ชาวนา ก็พอที่จะส่งเสียให้เรียนหนังสือพออ่านออกเขียนได้ ถ้าหากถือเอาพ่อ-แม่คู่นี้เป็นที่เกิด เกิดมาในตอนนี้ก็จะดีมาก เพราะเป็นลูกที่เกิดกลาง ๆ เกิดมาแล้วพ่อแม่จะไม่ห่วงหาอาลัยนัก เพราะคนแถบถิ่นนี้เขารักและห่วงอาลัยลูกคนแรกและคนสุดท้ายเท่านั้น 

หากจะเกิดกับสามีภรรยาคู่นี้ก็จะได้เป็นลูกคนกลางกอปรกับต้นตระกูลของเขา ก็ฝักใฝ่สนใจใส่ใจ
ในพระพุทธศาสนา จัดเป็นตระกูลสัมมาทิฐิ

เทพบุตรตนนั้นก็ว่า “จะรับรองได้อย่างไรว่า เมื่อเติบโตพอที่จะบรรพชาอุปสมบทแล้วจะได้บรรพชาอุปสมบทตามประสงค์” 

คุณแม่ก็ว่า “แล้วแต่บุพกรรมของท่านเอง” เมื่อได้สนทนาตกลงตัดสินใจกันแล้วพระอินทราธิราช ผู้เป็นหัวหน้าเทวดาทั้งหลายก็กลับสวรรค์ไป เหลือแต่เทพบุตรผู้จะถือกำเนิดในครรภ์มนุษย์ต่อไป

หลายวันต่อมาคุณแม่จึงเรียกสามีภรรยามาพูดคุยให้ฟังตามเรื่องราวที่ปรากฎในนิมิตและออกปากขอทารก สามีภรรยาคู่นั่นก็ตกลงถวายให้เป็นลูกของคุณแม่ตั้งแต่บัดนั้น เมื่อครบกำหนดคลอดได้คลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชาย รูปร่างหน้าตาอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์

พ่อของเด็กได้มากราบเรียนคุณแม่ทราบ คุณแม่บอกว่าให้ตั้งชื่อว่าอินทร์ถวายปัจจุบันได้อุปสมบทในบวรพระพุทธศาสนา สมความประสงค์และเป็นลูกศิษย์องค์สำคัญมากรูปหนึ่งขององค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน 

ประวัติปฎิปทาหลวงปู่สรวง สิริปุญโญ

หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ 
วัดศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร
หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ ได้เล่าให้สานุศิษย์ของท่านฟังว่า ท่านได้อดอาหารทำความเพียรอยู่ถึง ๒๘ วัน ในวันที่ ๒๘ ท่านได้มรณภาพไปเป็นเวลา ๓ ชั่วโมง ปรากฏว่าตัวท่านเองขึ้นไปโผล่อยู่บนสวรรค์ มองลงมาข้างล่างก็เห็นนรกขุมต่างๆ เหล่าสัตว์นรกกำลังเสวยวิบากกรรมที่ตนกระทำมา 

ท่านเล่าต่อว่าบนสวรรค์นั้นเหล่าเทวบุตรเทวดามีแต่คนสวยๆงามๆ ยิ่งขึ้นสวรรค์ชั้นที่สูงขึ้นไปเท่าไรเทวดายิ่งสวยงามมากขึ้นเท่านั้น เมื่อขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นหนึ่งท่านก็เห็นวิมานหลังหนึ่งใหญ่โตมาก เป็นวิมานที่สร้างด้วยทองคำ ประดับประดาด้วยแก้วและเพชรนิลจินดาต่างๆเต็มไปหมด

หลวงปู่สรวงจึงถามเทวดาว่าวิมานใหญ่โตนี้เป็นของใคร เทวดาจึงชี้มือลงมาให้ท่านดูที่โลกมนุษย์ ปรากฏว่าบริเวณนั้นคือบ้านขามเฒ่า จ.นครพนม ก็เห็นชายผู้หนึ่งชื่อพรหมา รังษี เป็นกำนันตำบลนั้น เทวดาบอกว่าวิมานนี้เป็นของนายพรหมา รังษี ท่านจึงถามเทวดาต่อว่าเหตุใดนายพรหมา จึงได้วิมานใหญ่โตนี้ ก็ได้ความว่า 

สมัยที่หลวงปู่ศรี มหาวีโร ออกธุดงค์อยู่แถวบ้านขามเฒ่า ในเขต จ.นครพนม ได้มีประชาชาเลื่อมใสศรัทธาท่านเป็นจำนวนมาก กำนันพรหมา รังษี พร้อมด้วยชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างศาลาปฏิบัติธรรมถวายท่าน ด้วยอานิสงค์ที่สร้างศาลาถวายหลวงปู่ศรี มหาวีโร ซึ่งเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้ทำให้กำนันพรหมา รังษี ได้วิมานใหญ่โตหลังนี้บนสวรรค์

หลวงปู่สรวงเดินทางศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดถ้ำขาม จ.สกลนคร

. . . ช่วงที่อยู่ที่ถ้ำขามนั้น พระอาจารย์สรวงท่านเล่าว่า เสือมันร้องอยู่ตลอด ทำให้จิตไม่ค่อยเป็นสมาธิ เพราะกลัวเสือ วันหนึ่งหลังสรงน้ำหลวงปู่ฝั้น เสร็จก็ไปนวดเส้นท่าน หลวงปู่ฝั้น ถามว่า “ท่านภาวนากันยังไง ภาวนาแบบไหนไม่มีพุทโธ ระวังพวกช้างพวกเสือจะมาคาบไปกินหล่ะ” พอหลวงปู่ฝั้น พูดเสร็จ ก็ยิ่งทำให้ท่านเกิดความกลัวยิ่งขึ้น 

หลวงปู่ฝั้น จึงบอกว่า “ขยับมานี่ จะบอกคาถาลี้ช้างลี้เสือให้” 

จากนั้นหลวงปู่ฝั้น ก็มาจับที่มือ ตอนที่เราประนมมือไหว้อยู่ ชี้ลงที่กลางหน้าอก และบอกว่า “ให้เอาจิตจี้ลงไปตรงนี้ จี้ลงไปลึก ๆ อย่าให้มันออกไปที่อื่น ให้มันเข้าไปที่โครงกระดูกลึก ๆ โน่น ให้ทำทุกวัน อย่าให้มันส่งออกไปที่อื่น”

จากนั้นจึงได้ทำตามคำสอนของหลวงปู่ฝั้น พอกลับไปที่กุฏิก็ได้ยินเสียงเสือมันร้องอีก ก็เลยกำหนดตามคำสอน เอาจิตจดจ่อไปที่กลางอกเข้าไปที่กลางกระดูก พอจิตสงบก็เห็นโครงกระดูกทั้งร่าง ภาวนาต่อไปจนจิตมันสงบ มารู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว 

พระอาจารย์สรวง ท่านเล่าว่า “พอจิตมันเข้าไปอยู่ที่ตรงนั้นแล้วมันมีอำนาจมาก ไม่รู้สึกกลัวช้างกลัวเสือเลย มีแต่ความกล้าหาญ หากเราเคยทำกรรมกับมันไว้ก็ขอให้เสือมันกินเลย จะได้หมดเวรหมดกรรม” นี่แหละ หลังจากนั้นก็ไม่กลัวช้างกลัวเสืออีกเลย

ท่านได้เดินทางศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่วัดป่าอัมพวัน จ.เลย

. . . คืนหนึ่งท่านได้จับเส้นถวายหลวงปู่ชอบ หลวงปู่จึงถามถึงการทำความเพียรว่า “เอาจิตไว้ที่ไหน” จึงกราบเรียนท่านไปว่า

“หลวงปู่ฝั้น บอกให้ดูที่อก เอาไว้ในโครงกระดูกข้างใน กระผมจึงดูที่หัวใจตั้งแต่นั้นมา” หลวงปู่ชอบพูดว่า “เออดี ให้ทำอยู่ทุกวัน ทุกคืน ทุกลมหายใจเข้าออก ขอให้เร่งเร็ว ๆ ให้เดินหน้า อย่าถอยหลังนะ” 

พอจับเส้นเสร็จก็ออกจากกุฏิท่าน ไปเดินจงกรมต่อ ซึ่งทางจงกรมอยู่ไม่ไกลจากกุฏิหลวงปู่ชอบมากนัก สักครู่ได้มองเห็นแสงสว่างเจิดจ้าสว่างไสวพุ่งสู่ท้องฟ้าทางด้านกุฏิหลวงปู่ชอบอยู่ที่เนินสูง ๆ อีกสักครู่ได้ยินเสียงชาวบ้านตื่นตระหนกตกใจ พากันวิ่งกรูพร้อมถือถังน้ำ

ร้องเรียกไฟไหม้ ๆ กุฏิหลวงปู่ชอบ พอไปถึงกุฏิ หลวงปู่ชอบท่านออกจากสมาธิ แล้วบอกลูกหลานชาวบ้านว่า 

“พากันมาทำไม ไม่เห็นมีไฟไหม้ที่ไหน แสงไฟอันนี้ไม่มีพิษภัยกับใคร เป็นแสงศีลแสงธรรมนั่นเอง การที่เกิดเป็นแสงรัศมีโชติช่วงในบริเวณกุฏินั้นเป็นเพราะอานิสงส์จากการภาวนานั่นเอง

เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม ปี พ.ศ.๒๕๕๖ เวลาประมาณตี ๔ ตี ๕ ขณะที่หลวงตาสรวง ท่านกำลังพักอยู่ภายในกุฏิ ได้มีเทวบุตร เทวธิดา จำนวนมากมายมหาศาล ลอยผ่านมาทางอากาศ เมื่อผ่านมาทางวัดศรีฐานใน ก็ลงมากราบนมัสการท่าน

แล้วลอยไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อไปทางจังหวัดมุกดาหาร เป็นจำนวนมากเต็มท้องฟ้า มีเทวดาเป็นหมื่นเป็นแสนลอยอยู่เต็มท้องฟ้าเลย 

พอช่วงเช้า เวลาฉันจังหัน หลวงตาสรวง จึงได้เล่าเหตุการณ์นี้ให้พระสงฆ์ที่วัดฟัง เรื่องเห็นเทวดาจำนวนมากลอยอยู่บนอากาศ พอเมื่อเวลาสาย ๆ ใกล้ ๆ เที่ยง พระที่วัดจึงมากราบเรียนว่า มีโยมโทรศัพท์มาแจ้งว่า

“หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ท่านละสังขารลงเมื่อเวลา ๐๙.๐๙ น. ช่วงเช้าวันนี้เอง(วันเสาร์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๖)” หลวงตาสรวง ท่านจึงพูดว่า “มิน่าถึงได้เห็นเทวดามาจำนวนมากมายมหาศาลลอยมาทั่วทุกทิศทุกทาง ที่แท้ก็เพื่อไปรอรับหลวงปู่จาม เรานี่เอง”

โอวาทธรรม

“..ถ้าความเพียรของเรากล้า มันเผาได้หมดทุกอย่าง เผากิเลสได้หมด เผาความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกจากหัวใจของสัตว์โลก เผาได้หมดทุกอย่าง ในร่างกายของเรานี้อะไรจะมาขวางไม่ได้ จะมาปิดบังไม่ได้..” 



ประวัติปฎิปทา คุณย่าชีนารี การุณ


ประวัติปฎิปทาคุณย่าชีนารี การุณ
“บุรุษจะเป็นบัณฑิตในที่ทั้งปวงก็หาไม่ แม้สตรีมีปัญญาเฉียบแหลมในที่นั้น ๆ ก็เป็นบัณฑิตได้เหมือนกัน”

คุณย่าชีนารีได้สมรสกับนายวันดี ซึ่งมีลูกด้วยกัน 6 คน เป็นหญิง 4 ชาย 2 พอคุณย่าชีนารีอายุครบ 40 ปี ก็มีอารมณ์อยากบวชโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนหน้านั้นท่านได้พบองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ 

องค์หลวงปู่มั่นได้เดินธุดงค์ไปพักอยู่ใกล้บ้านๆและได้สอบถามถึงครอบครัวแล้วท่านก็เดินธุดงค์ผ่านไป คุณย่าจึงขออนุญาตนายวันดีออกบวช นายวันดีให้ข้อแม้ว่าคุณย่าต้องหาภรรยาให้ซัก 3 คน 

เมื่อถึงวันบวชนายวันดีมีศรัทธาให้ออกบวชและไม่ยอมเอาเมียที่หาให้ หลวงปู่มั่นท่าน ทราบด้วยญาณจึงส่งพระมา 3 รูป คือ หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงพ่อสมบูรณ์ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก พร้อมด้วยบริขารมาทำการบวชให้

คุณย่าหลังจากบวชชีแล้วได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ โดยท่านให้อุบาย ให้คุณย่าภาวนา นะโมและพุทโธ ท่านภาวนาท่านเห็นอดีตชาติขององค์ท่านเองว่าเคยเกิดเป็นชาวรัฐเซีย ไต้หวัน กษัตริย์ ทหาร แต่ไม่เคยเกิดเป็น 3 อย่างคือ เสือ ไส้เดือน กิ้งกือ

หลังจากหลวงปู่มั่น นิพพาน ได้มีการจัดงานประุชุมพลิงที่วัดป่าสุทราวาส

คุณย่าเล่าให้ฟังว่าในงานประชุมเพลิงมีเทพธิดามาร่วมถวายเพลิง 30่,000 องค์ ท้าวมหาพรหม 6 องค์ เทพบุตรมา 2 องค์ เกือบทุกชั้นมีเทพประธานมากำกับด้วย ท่านเห็นแล้วชื่นใจ

หลังจากประชุมเพลิงเสร็จ ศิษยานุศิษย์องค์หลวงปู่ได้เข้าไปแย่งขี้เถ้า อัฐิ ตัวคุณย่าเองก็เข้าไปล้วงกับเค้า ได้อัฐิส่วนซี่โครง เศษอัฐิ และอังคาร มา เมื่อคุณย่าเก็บรักษาต่อมาได้แปรสภาพเป็นพระธาตุแก้วใสหมด

หลังจากนั้นท่านก็อยู่วัดป่าสุทราวาสเรื่อยมา เมื่อปีพ.ศ. 2520 สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชนีนาถมีศรัทธาสร้างกุฏิ ถวายใหม่ สมเด็จพระเทพมาครั้งใดจับแขน จับขาคุณย่า เห็นคุณย่านุ่งห่มผ้าขาวแทบจะเป็นดำ ก็เข้าไปจัดแจงจะให้คุณย่าเปลี่ยนชุดใหม่ ถึงกับทรงจะผลัดให้เอง คุณย่าต้องห้ามไว้ ท่านเล่าด้วยความปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณ

หลวงปู่คำคะนิงในอดีตชาติเป็นพี่ชายขององค์ท่าน ในชาติปัจจุบันนึ้ท่านก็มาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ และได้นำประคำที่อยู่กับองค์ท่านมาตั้่งแต่สมัยออกปฏิบัติธรรมใหม่ๆให้แด่คุณย่า

หลวงปู่หลุย จันทาสาโร นับถือคุณย่าเป็นแม่ เพราะในอดีตชาติคุณย่าเป็นแม่ขององค์หลวงปู่ หลวงปู่จะกล่าวชมให้ลูกศิษย์ฟังว่า

ท่านเป็นแม่ขาวแม่ออกที่ปฏิบัติธรรมจนเห็นธรรม หลวงปู่หลุยท่านรักและเคารพคุณย่ามากถึงขนาดทำที่ครอบฟันปลอมให้และส่งปัจจัยจำนวน 10,000 บาท ให้คุณย่าทุกเดือน หลวงปู่หลอด ปโมทิโต เคารพในคุณธรรมคุณย่าและมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ 

ตอนที่คุณย่าจะนิพพาน หลวงปู่ถวายปัจจัยให้คุณย่า 20,000 บาท หลวงปู่หลุยและหลวงปู่หลอดกล่าวว่าที่ท่านมีทุกวันนึ้ได้ก็เพราะฝีมือคุณแม่นั้นแหละ ก่อนวันที่ท่านจะนิพพาน 

ท่านมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สติแจ่มใสมาก ท่านบอกให้คุณยายสมรเตรียมน้ำมารับพระเถระบนกุฏิ คุณยายสมรเตรียมน้ำมาแล้วไม่เห็นใคร

ท่านก็บอกให้เอาขึ้นมา พระเถระมาเต็มกุฏิแล้ว หลังจากนั้นวันต่อมา คุณย่าได้จับมือคุณยายสมรและคุณตาเพลินได้สั่งเสียไว้ว่า ถ้าท่านนิพพานแล้วอย่าทิ้งคุณย่าเขียนน่ะ(ผู้ดูแลคุณย่าตั้่งแต่สมัยวัดป่าสุทราวาส) 

คุณยายสมรและคุณตาเพลินรับคำ ท่านทรงสติมาก แล้วท่านก็ยิ้มงามมาก ยิ้มอย่างไม่อาลัยอาวรณ์ไม่สนแก่การตาย พอท่านยิ้ม ลมหายใจและหัวใจก็หยุดเต้น ท่านเข้าสู่อนุปปเสสนิพพานเมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ. 2542 เวลา 20.25 สิริอายุขัย 123 ปี อยู่ในเพศแม่ชี 83 ปีพอดี 

ในวันประชุมเพลิงมี หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปธีโป เป็นประธานในฝ่ายบรรพชิต ถวายเพลิง เมื่อไฟไกล้จะมอดเห็นดวงไฟสีเขียว พุ่งออกมา เมื่อเก็บอัฐิพบว่า อัฐิคุณย่าแปรสภาพเป็นพระธาตุทันทีหลังจากประชุมเพลิงเสร็จ ผู้มีอัฐิเป็นแก้วมณีใส ย่อมถึงที่สุดเห็นธรรมแล้ว

ธรรมโอวาท

"ศีลนั้นแสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจอันสูงเพราะหากทำลายศีลเสียก็เท่ากับว่าทำลายความเป็นมนุษย์ ที่ปราศจากความดีทั้งหลาย"

"เมื่อจิตเป็นสมาธิ จิตหยุดนิ่ง อารมณ์มันน้อย ปัญญาจึงมีโอกาศเกิดขึ้นได้"

"ให้มีสติรู้เท่าทัน(อุปาทาน)หยุดมันเสียมันก็จะนิ่งสนิทอย่างเดิม เป็นอารมณ์เดียว"

หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ เรื่องกรรม


หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ 
วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย

พระอาจารย์จวน(กุลเชฎโฐ)ได้พบกับเหตุการณ์ที่ปรากฎชี้ชัดให้เห็นเรื่อง “กรรม” อย่างไม่มีข้อข้องใจสงสัย

วันหนึ่งเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ ขณะที่พระอาจารย์จวน (กุลเชฎโฐ) กำลังเดินจงกรม โดยกำหนดจิตภาวนาบริกรรมไปโดยตลอด ท่านก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าอย่างหนึ่งชอนเข้าจมูก มันเป็นกลิ่นเหม็นเน่าที่ไม่ใช่จากซากสัตว์น้อยใหญ่ชนิดใดชนิดหนึ่ง ท่านจึงตั้งวิตกถามจิตขึ้นดูว่า เหม็นอะไรนี่ จิตตอบว่า นี่เป็นกลิ่นเปรต เหม็นเปรต

พระอาจารย์จวนก็เลยตั้งจิตแผ่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้กับเปรตนั้นไป กลิ่นเหม็นนั้นก็หายไป ตอนเช้าหลังกลับจากบิณฑบาตลงสู่โรงฉัน พระอาจารย์จวนสนทนากับพระอาจารย์สอน พระอาจารย์สอนก็ได้กลิ่นเหม็นเช่นกัน และเมื่อตั้งจิตถามดู จิตก็ตอบว่าเป็นกลิ่นเปรต ครั้นแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญกุศลให้เขาไป กลิ่นเหม็นประหลาดนั้นก็หายไปอีกเช่นกัน

คืนนั้น……ขณะที่พระอาจารย์จวนกำหนดจิตเข้าสู่สมาธิ ท่านก็ได้นิมิตเห็นเปรต 2 ตน นั่งคู่อยู่ด้วยกันบนหญ้าผาภูสิงห์น้อย เป็นเปรตผู้หญิงทั้งคู่ มีแต่ผ้านุ่ง ท่อนบนไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ เปลือยตลอด ปล่อยผมยาวรุงรังมีผิวดำคล้ำเศร้าหมองเป็นที่น่าเวทนายิ่ง ท่านจึงถามเปรต 2 ตนนั้นว่า

“ท่านเป็นอะไร ทำไมมาอยู่ที่นี่”

เปรตหญิง 2 ตนนั้นตอบว่า “พวกข้าเป็นเปรตอยู่ที่ภูสิงห์นี่”

“เป็นเปรตมานานแล้ว”

“ทำกรรมอันใดไว้ จึงต้องมาเป็นเปรตเช่นนี้”

เปรตหญิง 2 ตน ก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่เกิดในชาติของมนุษย์ ทั้งสองได้เอาฝักรังไหมซึ่งมีตัวอ่อนอยู่ข้างในมาต้มในน้ำเดือดเพื่อสาวเอาใยไหมมาทอเป็นผ้า ทำกันมานานจนไม่รู้ว่าได้ฆ่าตัวไหมไปมากมายเท่าไหร่ ด้วยบุพกรรมคือบาปอันนี้ เมื่อตายจากชาติมนุษย์จึงมาเกิดเป็นเปรตมีแต่ผ้านุ่ง ผ้าคลุมกายไม่มี

พระอาจารย์จวนถามต่อไปอีกว่า พวกท่านเมื่อเป็นมนุษย์มีชื่อว่าอะไร เปรตหญิงตอบว่า ทั้งสองตนเป็นพี่น้องร่วมท้องพ่อแม่เดียวกัน คนพี่ชื่อ “ทา” น้องสาวชื่อ “สี” ได้รายละเอียดเพียงเท่านี้ พระอาจารย์จวนก็ออกมาจากนิมิต 

และด้วยนิมิตนี้ทำให้ท่านพิจารณาเห็นจริงว่าการฆ่าสัตว์ทำลายสัตว์เป็นบาปจริง ๆ และบาปนี้คือตัว “กรรม” ที่ส่งผลให้มาเป็นเปรตได้รับความทุกข์ทรมานอย่างน่าสลดใจยิ่ง

“กรรม” ที่ “ทา” กับ “สี” ร่วมกระทำการเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่นเป็นอาจิณกระทั่งเป็น “อกุศลกรรม” กองใหญ่ ย่อมมีพลังหนักหน่วงในอันที่จะน้อมนำให้คนทั้งสองมีที่หมายคือ ภพชาติอันเป็นทุกข์แน่นอนอยู่แล้ว และถ้าพี่น้องสองคนนี้ยังมีจิตใจแข็งกระด้างประกอบเข้าไปด้วยอีก กล่าวคือมิได้เลื่อมใสในการบุญ การกุศล 

มีความตระหนี่เสียดายต่อการบริจาคทานจิตถูกกิเลสห้อมล้อมให้มัวเมากับความโลภอยู่ตลอดเวลา จึงเท่ากับพี่น้องสองคนห่างไกลจากกระแสแห่งคุณความดีหนักเข้าไปอีกความเข้มข้นของอกุศลกรรมแห่งตน จึงไม่มีความเจือจางลงไปได้เลย ความเกรี้ยวกราดของอกุศลกรรมนั้นจึงมีพลานุภาพเต็มพิกัด และแสดงผลอย่างเต็มที่

ดังนั้น เมื่อสิ้นชีวิต สิ้นภพชาติจากโลกมนุษย์ จึงไปผุดเกิดในอัตภาพอันเป็นทุกข์ทันที ต้องไปรับผลแห่งกรรมของตนอย่างน่าสลดสังเวช



หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ

 หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ
วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร

หลวงปู่กงมาได้เทศน์สั่งสอนโจร

‘พวกเธอเอ๋ย แม้พวกเธอจะมาหาทรัพย์ ตลอดถึงการผิดศีลของพวกเธอนั้นน่า ก็เพื่อเลี้ยงชีวิตนี้เท่านั้น แต่ชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ของพวกเธอ มันจะสิ้นกันไม่รู้วันไหน เป็นเช่นนี้ทุกคน พวกเธอฆ่าเขา ถึงจะฆ่าไม่ฆ่าเขาก็ตาย เธอก็เหมือนกัน มีความดีเท่านั้นที่ใคร ๆ ฆ่าไม่ตาย อย่างเรานี้จะตายเมื่อไรก็ไม่อนาทรร้อนใจ เพราะความดีเราทำมามากแล้ว’

พระอาจารย์วิริยังค์ได้เล่าเรื่องนี้ไว้ดังนี้

ข้าพเจ้าแทบจะไม่เชื่อในสายตาของข้าพเจ้าเลยทีเดียว ในขณะนั้นพวกโจรทั้งหมดพากันวางมีดวางปืนหมด น้อมตัวลงกราบอาจารย์ของข้าพเจ้าอย่างอ่อนน้อม ข้าพเจ้าโล่งใจไปถนัดและพอใจที่พวกโจรมันยอมแล้ว หัวหน้าโจรชื่อนายอุง เป็นคนล่ำสันมาก กรากเข้ามาหาอาจารย์ ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์

ท่านอาจารย์กงมา ท่านก็บัญชาให้พระที่ไปกับท่านโกนผมเสียเลย บวชเป็นตาผ้าขาวติดตามท่านไป

เดี๋ยวนี้หัวหน้าโจรได้กลายเป็นผู้ทรงศีลไปเสียแล้ว มันจะเป็นไปได้หรือท่านผู้อ่านทั้งหลาย เพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้นโจรทั้งคณะมายอมแพ้อาจารย์ของข้าพเจ้า มันเป็นไปแล้วแหละท่านทั้งหลาย ต่อมาเมื่อมหาโจรอุง มาเป็นตาผ้าขาวอุงแล้วก็สนิทสนมกันกับข้าพเจ้าอย่างยิ่ง

พระอาจารย์วิริยังค์ได้เล่าเรื่องนี้ต่อไปว่า

“มหาโจรอุง ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นตาผ้าขาวอุงไปแล้วนั้น ก็ได้ติดตามอาจารย์มาจำพรรษาร่วมอยู่ที่วัดนี้ เธอตั้งใจจะปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างเต็มความสามารถ และก็เป็นผล ทำให้จิตใจของเธอได้รับความสงบและเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง การทำความเพียรของเธอนั้นทำอย่างยิ่ง บางครั้งนั่งสมาธิตลอดคืนยังรุ่ง บางครั้งเมื่อสมาธิได้ผล เธอจะอดอาหาร ๒ วัน ๓ วัน เป็นการทรมานตน

ข้าพเจ้าได้ถามเธอว่า ตอนเป็นโจรได้ฆ่าคนไปแล้วกี่คน

เธอบอกว่า ๙ คน นับเป็นบาปกรรมอย่างยิ่ง แต่อาศัยธรรมของพระอาจารย์กงมา ที่ได้พร่ำสอนอยู่เนืองนิตย์ ทำให้เธอได้รับผลจากคำสอนเป็นอย่างยิ่ง

ข้าพเจ้าถามเธอเรื่องการปล้นฆ่าทีไรเป็นได้เรื่องทุกที

เธอบอกว่า เมื่อได้เล่าเรื่องความหลัง ในเวลาบำเพ็ญสมาธิจะแลเห็นในนิมิตว่า มีตำรวจนับไม่ถ้วนมารุมล้อมจะฆ่าเอาเสียให้ได้ มันเป็นนิมิตที่คอยมาหลอกหลอนตัวเองอยู่เสมอ

เธอได้เล่าต่อไปว่า

มีคราวหนึ่งเขาจับผมได้ เขาประชาทัณฑ์จนผมสลบไป พวกเขานึกว่าผมตายแล้วจึงหามเอาผมไปโยนทั้งในป่าแห่งหนึ่ง พอกลางดึกน้ำค้างตกถูกหัวผม ผมได้รู้สึกตัวและได้ฟื้นขึ้น พวกชาวบ้านรู้ว่าผมฟื้นไม่ตาย พวกเขายิ่งกลัวกันใหญ่ อกสั่นขวัญแขวน ผมเองมารู้สึกตัวตอนฟื้นชีพว่า คนเราเกิดแล้วต้องตายแน่ เรามาประพฤติตัวเป็นมหาโจรอยู่เช่นนี้ ก็คงจะได้รับบาปกรรมอันใหญ่หลวงต่อไปเป็นแน่

แต่แม้จะได้คิดเช่นนี้ก็ตาม สัญชาตญาณของความเป็นโจรของผมก็ไม่สิ้นไป ต้องคุมสมัครพรรคพวกเข้าปล้นสะดมเขาเหมือนเดิม แต่คราวนี้ผมได้ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ฆ่าใครอีกต่อไป เหมือนกับบุญปางหลังมาช่วยผม อีกไม่ช้าไม่นานนัก ก็พอดีมาพบกับท่านอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ พร้อมกับเมื่อมองเห็นท่านครั้งแรกก็อัศจรรย์ใจแล้วครับ ให้เกิดความเลื่อมใสในองค์ท่านตั้งแต่ยังไม่ฟังธรรมจากท่าน อาจถึงคราวหมดบาปกรรมแล้ว 

พอได้ฟังธรรมจากท่านเท่านั้น ก็เกิดความสลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ จิตของผมเหมือนกับถูกชโลมด้วยน้ำอมฤต กลายเป็นจิตที่ให้อภัยทุกสิ่งทุกอย่าง ละตัวออกจากพวกมหาโจรทั้งหลาย

ผมเองก็พยายามเกลี้ยกล่อมลูกน้องให้ตามผมมาบวช แต่มันไม่ตามมา ผมก็เลยปล่อย แต่ในที่สุดลูกน้องของผมทั้งหมดมันก็เลิกเป็นโจร เข้ามาอยู่ในบ้านทำมาหากินตามปกติ ผมเองจึงบวชเป็นตาผ้าขาว ผมรู้ตัวผมดีว่าทำบาปกรรมไว้มาก ผมจึงขอสละชีวิตเพื่อการทำสมาธิอย่างยิ่งยวด

ตาผ้าขาวอุงได้อยู่ปฏิบัติกับพระอาจารย์กงมา อยู่เป็นเวลาหลายปี เป็นผู้เคร่งครัดอยู่ในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่งจนวาระสุดท้ายของชีวิตในวันหนึ่ง ตาผ้าขาวอุงนั่งสมาธิอยู่ภายในกลด เป็นเวลา ๒ วันไม่ออกมา ตามธรรมดาจะออกมารับประทานอาหารพร้อมพระ ในวันนั้นไม่ออก พระภิกษุสามเณรก็สงสัย แต่บางครั้งตาผ้าขาวอุงจะอดอาหาร ถึง ๕-๗ วัน ก็มี

จึงทำให้ไม่มีใครสนใจเท่าใดนัก แม้ว่าจะไม่ออกจากกลดตั้งหลายวัน วันนี้พวกเรานึกสงสัยมากกว่าทุกวัน จึงพากันเข้าไปเพื่อจะเปิดดูว่า ตาผ้าขาวอุงทำอะไรอยู่ข้างใน แต่โดยส่วนมากพระอาจารย์กงมาท่านห้าม เพราะเป็นเวลาที่เขานั่งสมาธิอยู่ เราไปทำให้เสียสมาธิของคนอื่น จึงทำให้เกิดความลังเลที่จะเปิดกลดของตาผ้าขาวอุง

ครั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลานานผิดปกติ พวกเราจึงตัดสินใจเปิดกลด เมื่อเปิดกลดแล้วทุก ๆ คนที่เห็นก็ต้องตกตะลึง เพราะตาผ้าขาวอุงไม่มีลมหายใจเสียแล้ว แต่ว่ายังคงนั่งสมาธิอยู่ตามปกติไม่ล้ม พวกเราจับตัวดูเย็นหมด แข็งทื่อเป็นท่อนไม้

แต่ว่าคราวนั้นอยู่กันในป่า เป็นวัดป่า เรื่องก็ไม่เป็นข่าวโกลาหล ซึ่งถ้าเป็นอย่างปัจจุบันนี้ เข้าใจว่าจะเป็นข่าวอึกทึกครึกโครมอย่างมหาศาลทีเดียว น่ากลัวว่า พวกที่นับถือเรื่องโชคลาง จะพากันแตกตื่นไปหากันใหญ่ แต่ว่าขณะนั้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในที่สุดพระอาจารย์ก็ได้พาญาติโยมพระภิกษุสามเณรทำฌาปนกิจศพตามมีตามได้ จนกระทั่งเหลืออยู่แต่เถ้าถ่านเท่านั้น.”

ศึกษาเพิ่มเติม : http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-kongma/lp-kongma-hist-02.htm

พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร

หลวงปู่โง่น โสรโย ได้เล่าว่า
ตอนที่พระอาจารย์วังมาอยู่ที่ถ้ำชัยมงคลภูลังกาใหม่ๆ นั้น ท่านก็ประสบเข้ากับความลึกลับของวิญญาณอย่างแปลกประหลาด เหตุเกิดในตอนหัวค่ำคืนวันหนึ่ง ขณะที่พระอาจารย์วังนั่งเจริญภาวนาอยู่นั้น มีแสงสว่างสาดเข้ามาในถ้ำเป็นแสงเย็นๆ เหมือนแสงจันทร์วันเพ็ญเข้าใจว่าเป็นแสงสว่าง หรือ " โอภาส " ตามปกติธรรมดาเวลาทำสมาธิมักจะเกิดขึ้นเสมอ

แสงนั้นสว่างไสวแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกรำคาญ จึงได้ลืมตาขึ้นก็ได้เห็นคนนุ่งขาวห่มขาว 3 - 4 คน เดินเข้ามาหาเนิบๆ ดูลอยๆ พิกล แต่ละคนไม่แก่ไม่หนุ่ม รูปร่างหน้าตาเหมือนชาวบ้านทั่วไปแต่ผ่องใสมีสง่าราศีชวนให้สะดุดใจ พวกเขานั่งลงกราบอย่างสวยงามเบญจางคประดิษฐ์ คนที่เป็นหัวหน้าได้เอ่ยขึ้นว่า " ได้เห็นพระอาจารย์วังขึ้นมาอยู่ที่ภูลังกาตั้งแต่วันแรกแล้ว เพิ่งมีโอกาสมาเยี่ยมเยือนนมัสการในวันนี้ "

ทีแรกพระอาจารย์วังเข้าใจว่า พ่อขาวทั้ง 4 คนเป็นนักปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำใดถ้ำหนึ่ง ในเทือกเขาภูลังกาอันกว้างใหญ่ พากันดั้นด้นมาเพื่อจะสนทนาธรรมด้วย แต่ก็คิดผิดไปถนัดเมื่อพ่อขาวผู้นั้นได้เล่าต่อไปว่า...พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นโอปปาติกะหรือวิญญาณมาจากสวรรค์แดนพรหมโลก มาบำเพ็ญบารมีแสวงบุญที่ภูลังกา เพราะเป็นสถานที่สงัดวิเวกและศักดิ์สิทธิ์มานานตั้งแต่ดึกดำบรรพ์

พวกเทวดาและพรหมชอบพากันมาเยือนโลก เพราะได้เห็นสถานภาพที่แท้จริงของโลกมนุษย์มีสภาวะ ความทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เห็นได้ชัดเจนมาก ทำให้เกิดสลดสังเวชรู้แจ้งในธรรมได้ง่ายกว่าอยู่บนสวรรค์ เพราะบนสวรรค์มีแต่ความสุขสารพัดอันเป็นทิพย์มอมเมาให้หลงเพลิดเพลิน จึงยากที่จะปฏิบัติธรรมให้เห็นแจ้งในความทุกข์

พระอาจารย์วังได้ฟังแล้วก็พิศวงงงงัน เกิดความสงสัยว่าตัวเองฝันไปหรือเปล่า ? ชายทั้งสี่ได้กล่าวอย่างรู้วาระจิตว่าพระอาจารย์วังไม่ได้ฝันไปแต่อย่างใด พวกเขาเป็นพรหมมาพบจริงๆ โดยการแสดงกายหยาบให้เห็นเป็นกรณีพิเศษ เพราะมีวาสนาบารมีเคยผูกพันกันมากับพระอาจารย์วังในอดีตกาลจึงสามารถแสดงกายหยาบให้เห็นได้ตามกฏแห่งกรรมไม่ผิดหลัก " โอปปาติกธรรม " แต่ประการใด

พระอาจารย์วังได้ถามว่า พวกวิญญาณหรือที่เรียกกันตามภาษาบาลีว่า โอปปาติกะนั้นมีกายเป็นทิพย์ที่มนุษย์ไม่สามารถจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เวลาจะแสดงกายหยาบให้มนุษย์เห็นจะต้องใช้เวทมนตร์คาถาไหม ?

พรหมทั้งสี่ได้กล่าวว่า พวกโอปปาติกะหรือวิญญาณชั้นสูง เป็นต้นว่า เทวดา พรหม ที่มีบุญฤทธิ์หรือเคยสำเร็จอัปปนาสมาธิมาก่อนในสมัยเกิดเป็นมนุษย์สามารถแสดงกายหยาบได้ ทำที่โล่งแจ้งว่างเปล่าให้เป็นป่าไม้ภูเขาได้ ล่องหนหายตัวได้ แปลงกายเป็นอะไรก็ได้ เมื่อทำไปแล้วก็จะสูญเสียพลังทิพย์ ต้องมีการ " เข้ากรรม " คือรักษาศีลเจริญเทวธรรมและพรหมธรรม เพื่อเรียกเอาพลังอำนาจทิพย์นั้นกลับมาให้เหมือนเดิม

ที่พิเศษพิสดารได้แก่พวกปีศาจต่างๆ ได้แก่ ผีหรือเปรต เช่น มหิทธิเปรตและเปรตอีกหลายจำพวกที่มีฤทธิ์เป็นผีปีศาจดุร้าย แสดงกายหลอกหลอนได้ต่างๆ นาๆ สามารถทำร้ายมนุษย์และสัตวืได้นั้นมีฤทธิ์เดชได้ด้วยผลกรรมเรียกว่า " กรรมวิปากชาฤทธิ์ "

พวกโอปปาติกะหรือวิญญาณต่างๆ ที่มีบุญน้อยและเทวดาบางจำพวกที่มีบุญฤทธิ์น้อย ( แต่มีเทวธรรมดีงาม ) จะแสดงกายหยาบไม่ได้เลย แต่สามารถทำกลิ่นได้ เป็นต้นว่า กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น กลิ่นธูปเทียน กลิ่นดอกไม้ กลิ่นอาหารคาวหวาน และทำให้เกิดเสียงต่างๆ ได้ เช่น เสียงขว้างปาหลังคาบ้าน เสียงพูด เสียงร้องไห้คร่ำครวญ หรือหัวเราะ เสียงลมพายุเป็นต้น แต่แสดงกายหยาบเป็นตัวตนไม่ได้ พวกผีหรือวิญญาณโอปปาติกะจำพวกนี้มีจำนวนมากที่สุดในโลกวิญญาณ

พรหมทั้งสี่ได้กล่าวต่อไปอีกว่า ภูลังกามี 5 ลูก เป็นเทือกเขาบริเวณกว้างขวางหนาแน่นด้วยต้นไม่ใหญ่น้อย เป็นสวนสมุนไพรนานาชนิด มีโอสถสารวิเศษหายาก มากไปด้วยคูหาเถื่อนถ้ำลึกลับและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับพิสดาร

ทางโลกวิญญาณได้แบ่งภูลังกาเป็นเขตเป็นภูมิต่างๆ เป็นต้นว่า เขตหรือภูมิของพรหมสำหรับพวกพรหมลงมาบำเพ็ญธรรมในโลก เขตหรือภูมิของพวกพญานาค เขตหรือภูมิของพวกปิศาจอสุรกาย เขตหรือภูมิของพวกลับแล ( บังบดหรือคนธรรพ์ ) ซึ่งเป็นผีจำพวกหนึ่งที่มีกายหยาบใกล้เคียงกับมนุษย์เรียกว่า " อมนุษย์ " ผีลับแลมีคุณธรรมสูงถือศีล 5 เคร่งครัด จะเป็นเทวดาก็ไม่ใช่จะเป็นผีก็ไม่เชิง จะเป็นมนุษย์ก็ก้ำๆ กึ่งๆ ครึ่งๆ กลางๆ เพราะมีบุญฤทธิ์พิเศษล่องหนหายตัวได้ และสร้างภพภูมิของพวกตนเป็นบ้านเป็นเมืองอยู่อาศัยได้ แต่เมื่อถึงคาวพวกลับแลสิ้นกรรม ( หมดอายุขัย ) บ้านเมืองของพวกเขาก็จะหายวับเป็นอากาศธาตุไปทันที ภูตผีปีศาจทั้งหลายมีความยำเกรงพวกลับแลมากไม่กล้าตอแยข่มเหงเบียดเบียน

พระอาจารย์วังพอใจในคำตอบของพวกพรหม จึงได้ถามว่า ที่มาในคืนนี้มีกิจธุระอันใด ?

พรหมทั้งสี่ได้ตอบว่า ถ้ำชัยมงคลที่พระอาจารย์วังมาอยู่นี้ อยู่ในเขตของพวกพรหมที่ลงมาปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ จึงอยากให้พระอาจารย์วังเคร่งครัดในพระธรรมวินัย อย่าล่วงเกินธรรมวินัยเป็นอันขาด เพราะจะได้รับอันตรายจากพวกพญานาค พวกลับแลหรือบังบด และพวกยักษ์ที่รักษาป่าม้ภูเขาเถื่อนถ้ำ ห้ามฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิด ให้ฉันได้ก็แต่อาหารพรหมหรืออาหารมังสวิรัติ ( อาหารเจ ) เพราะย่านถ้ำชัยมงคลบนภูลังกาเป็นภูมิหรือเขตบริสุทธิ์ของพวกพรหม

พระอาจารย์วังเห็นว่าคำขอร้องนี้เป็นเรื่องที่ดีงาม ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร การไม่ฉันพวกปลาพวกเนื้อของคาวๆ ก็ดีเหมือนกัน ให้พวกศิษย์ที่เป็นพ่อขาว ( อุบาสก ) และสามเณรไปหาหัวเผือกหัวมันในป่ามาขบฉันแบบฤาษีชีไพรก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ทุกข์ร้อนอะไร ดังนั้นท่านจึงได้ตอบตกลงที่จะทำตามคำขอร้องของพวกพรหมด้วยความยินดีไม่ขัดข้อง

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พวกพรหมอีกหลายองค์ได้ผลัดเปลี่ยนกันมาสนทนาธรรมกับพระอาจารย์วังอยู่เสมอ ท่านบอกพระสหธรรมมิกร่วมสมัย เช่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่อ่อน ว่าเรื่องของพรหมบนภูลังกาเป็นเรื่องลี้ลับพิสดารมาก ไม่อยากจะเล่าให้ใครฟังเลยกลัวเขาไม่เชื่อ หลวงปู่โง่น โสรโย ได้เล่าต่อไปอีกว่า...

นอกจากจะสามารถติดต่อกับพวกพรหมจากสวรรค์พรหมโลก...พระอาจารย์วังยังติดต่อกับชาวลับแลหรือบังบด หรือคนธรรพ์ได้ ติดต่อกับพวกพญานาคได้ รวมถึงยักษ์หรืออสูรหรือรากษสได้เป็นปกติ เพราะที่ภูลังกาเป็นภูมิหรือที่อยู่ของวิญญษณหลายภูมิดังกล่าวมาแล้ว

เกี่ยวกับพวกพญานาค พระอาจารย์วังได้ตักเตือนพระเณรที่อยู่ด้วยบนภูลังกาในสมัยแรกๆ นั้น ได้แก่ พระอาจารย์โง่น โสรโย พระอาจารย์คำ ยัสสะกุลละปุตโต พระอาจารย์วัน อุตตโม สามเณรคำพันธ์ ( ปัจจุบันเป็น พระครูอดุลธรรมภาณ ) สมาเณรสุบรรณ สามเณรใส สามเณรอุทัย มีความว่า...

ภูลังกาเป็นแดนอาถรรพ์ เกี่ยวเนื่องผูกพันอยู่กับภพภูมิผีสางเทวดาสิ่งลี้ลับ มีทั้งฝ่ายดีคือ สัมมาทิฐิ และฝ่ายชั่วคือมิจฉาทิฐิ ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วได้จับตาดูพระสงฆ์องค์เณรอยู่ตลอดเวลาว่า จะประพฤติผิดศีลวินัยข้อใดบ้าง เรียกว่าเขาคอยจ้องจับผิด ถ้าพบว่าพระสงฆ์องค์เณรรูปใด ทำผิดเป็นอาบัติเขาจะเล่นงานทันที เป็นต้นว่า ทำให้เจ็บไข้อาพาธ ทำให้ถึงพิการหรือตายก็ได้

ฉะนั้นขอให้พระเณรทุกรูปรักษาศีลทุกข้อให้เคร่งครัดตามสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมความนึกคิดให้อยู่แต่ทางบุญกุศล อย่านึกคิดชั่วๆ ลามกจกเปรตคึกคะนองเป็นอันขาดหลังจากที่พระอาจารย์วังได้กล่าวตักเตือนแล้วได้ไม่กี่วัน ก็ปรากฏมีพวกงูจำนวนมากได้เลื้อยเพ่นพ่านอยู่ทั่วไป เป็นต้นว่า งูเห่า งูจงอาง งูสิงห์ดง งูเขียว งูเหลือม และงูสีสันแปลกๆ งูเหล่านี้เลื้อยเข้าๆ ออกๆ ถ้ำชัยมงคล ทำให้พระเณรหวาดกลัวกันมาก แต่งูก็ไม่ขบกัดใครผู้ใด

พระอาจารย์วังได้บอกพระเณรและพ่อขาวว่า ห้ามทำร้ายงู ห้ามดุด่า ให้แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศลให้งุทั้งหลายทุกโอกาสที่พบเห็นหรือเกิดการเผชิญหน้าอย่างคับขันอันตราย จิตที่เมตตาของเราจะทำให้งุมีความเป็นมิตรไม่ทำอันตราย เพราะงูมีประสาทสัมผัสพิเศษทางใจรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ได้

ในจำนวนงูทั้งหลายที่ปรากฏ มีงูประหลาดตัวหนึ่งชอบเลื้อยเข้าไปหาพระอาจารย์วังในถ้ำ บางครั้งในเวลากลางวัน บางครั้งในเวลากลางคืน เป็นงูใหญ่ขนาดต้นเทียนพรรษาหรือใหญ่โตขนาดต้นหมากทีเดียว ลักษณะแตกต่างจากงูทั่วไป ที่ลำคอพังพานสีแดง จะแผ่พังพานส่ายโงนเงนแล้วผงกคำนับ 3 ครั้ง ......

....................................................................................

ที่มาของข้อมูลจาก อ. กิตตินันท์ เจนาคม
จากหนังสือชื่อ ชำแหละกฎแห่งกรรม เขียนโดย ร.ต.เจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่

หลวงปู่ชา สุภัทโธ เรื่องหมาขี้เรื้อน


หลวงปู่ชา สุภัทโธ เรื่องหมาขี้เรื้อน
ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน 

เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้ เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับหลวงพ่อชาที่วัดหนองป่าพง พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน 

แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ 

วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า ทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา 

ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอก ต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด 

มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ 

อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน 

การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก 

อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส มีปฏิสัมพันธ์ กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า 

เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำหลังจากทำวัตรเย็นที่โบสถ์เสร็จ หลวงพ่อชาท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน ให้พระหนุ่ม สามเณรน้อย ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาแล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ ใกล้ๆ แล้วกล่าวว่า

"เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไป มาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้ อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี 

คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก 

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ท่านเห็นไหมว่าเมื่อตอนเย็นวันนี้ หมาป่าตัวหนึ่งมันเดินอยู่ที่นี่ เห็นไหม? มันจะยืนอยู่มันก็เป็นทุกข์ มันจะวิ่งไปมันก็เป็นทุกข์ มันจะนั่งอยู่ก็เป็นทุกข์ มันจะนอนอยู่ก็เป็นทุกข์ เข้าไปในโพรงไม้มันก็เป็นทุกข์ จะเข้าไปอยู่ในถ้ำก็ไม่สบาย มันก็เป็นทุกข์ เพราะมันเห็นว่าการยืนอยู่นี้ไม่ดี การนั่งไม่ดี การนอนไม่ดี พุ่มไม้นี้ไม่ดี โพรงไม้นี้ไม่ดี ถ้ำนี้ไม่ดี มันก็วิ่งอยู่ตลอดเวลานั้น

ความเป็นจริงหมาป่าตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อน มันไม่ใช่เป็นเพราะพุ่มไม้ หรือโพรงไม้หรือถ้ำ หรือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน มันไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เรื้อน"

พระภิกษุทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน ความไม่สบายนั้นคือ ความเห็นผิดที่มีอยู่ ไปยึดธรรมที่มีพิษไว้มันก็เดือดร้อน ไม่สำรวมอินทรีย์ทั้งหลาย แล้วก็ไปโทษแต่สิ่งอื่น ไม่รู้เรื่องของเจ้าของเอง ไปอยู่วัดหนองป่าพงก็ไม่สบาย ไปอยู่อเมริกาก็ไม่สบาย ไปอยู่กรุงลอนดอนก็ไม่สบาย ไปอยู่วัดป่าบุ่งหวายก็ไม่สบาย ไปอยู่ทุก ๆ สาขาก็ไม่สบาย ที่ไหนก็ไม่สบาย

นี่ก็คือความเห็นผิดนั้นยังมีอยู่ในตัวเรานั่นเอง มีความเห็นผิด ยังไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น นั่นคือเหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหากโรคเรื้อนมันหายแล้ว มันจะอยู่ที่ไหนมันก็สบาย อยู่กลางแจ้งมันก็สบาย อยู่ในป่ามันก็สบายอย่างนี้ ผมนึกอยู่บ่อย ๆ แล้วผมก็นำมาสอนพวกท่านทั้งหลายอยู่เรื่อย เพราะธรรมตรงนี้มันเป็นประโยชน์มาก"
หลังจากนั้นหลวงพ่อชาก็นำนั่งสมาธิ ถือเนสัชชิกตลอดทั้งคืน

ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง 

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขา เพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว ท่านก็ยังไม่ยอมสึก 

อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษาโยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชายแล้ว ก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่า คำว่า หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชาย หมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ

ประวัติปฏิปทาคุณย่าชีพิมพา วงศาอุดม

คุณย่าชีพิมพา วงศาอุดม
วัดหินหมากเป้ง จังหวัด หนองคาย

คุณย่าชีพิมพา วงศาอุดม ท่านคือผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ เรื่องราวของท่านอาจจะไม่ปรากฏเลยหาก หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ผู้เป็นพระอาจารย์ของท่านมิสั่งให้คุณแม่ได้เขียนประวัติตัวเองขึ้นไว้ หนังสือเล่มนี้หลวงปู่เทสก์เป็นผู้เขียนคำนำให้เอง

เนื้อหาบางตอนระบุว่า ชีพิมพาเป็นผู้หญิงใจสิงห์คนหนึ่ง ออกปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างยอมสละชีวิต ไม่แพ้ชายอกสามศอก ได้ต่อสู้กับโจรปล้นฆ่าคนมา 2 ครั้ง เสือ งูใหญ่ อย่างละครั้ง ผีนับครั้งไม่ถ้วน โดยไม่มีอาวุธอะไรนอกจากบารมีและอธิษฐานเป็นอาวุธ แต่ก็ได้ชัยชนะอย่างน่าทึ่ง

คุณแม่ชีพิมพา

หลวงปู่เทสก์สรุปประวัติคุณแม่ชีพิมพาไว้อย่างรวบรัดว่า พ่อแม่ของชีพิมพาอพยพมาจาก จ.ปราจีนบุรี ให้กำเนิดลูกสาวคนนี้ที่บ้านหนองกอง ต.หนองกอง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย เมื่อปี พ.ศ. 2455 แม่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเด็ก พออายุ 20 ปี ก็แต่งงานกับคนในหมู่บ้านเดียวกัน และเป็นการเลือกคู่ชีวิตที่แปลก คือมีคนรวยมาสู่ขอไปเป็นภรรยาหลายคน แต่ท่านไม่เลือก มาเลือกเอาคนไม่เที่ยวไม่กิน อยู่กินกันมาได้ 12 ปี มีบุตร 1 คน ซึ่งเกิดมาได้ 4 เดือนก็ตาย

เมื่อลูกตายยิ่งทำให้เห็นทุกข์ จึงชักชวนสามีออกบวช เมื่อตกลงกันได้ยกสิ่งของที่นาให้ญาติทั้งหมดแล้วก็แยกย้ายกันไปบวช บวชแล้วก็มีอุปสรรคมากแต่ก็ปฏิบัติจนเจริญก้าวหน้าในทางธรรมมาตามลำดับ แม้ว่าไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะไม่รู้หนังสือ รู้แต่ว่าดีเท่านั้น พอมาอยู่วัดหินหมากเป้ง เมื่อปี พ.ศ. 2518 จึงค่อยรู้เรื่องรู้ราว ว่า อะไรเป็นอะไร จนมีความสามารถอาจหาญเขียนประวัติและข้อธรรมนั้นๆ ได้

“แม่ชีทั้งหลายควรเอาเป็นแบบอย่าง” หลวงปู่เทสก์ สรุปความสุดท้ายไว้อย่างหมดจด

ลึกลงในรายละเอียดในภาคส่วนขยายที่คุณแม่ชีพิมพาท่านได้เขียนไว้นั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าทึ่งและควรน้อมมาเป็นอุทาหรณ์อย่างยิ่ง

มิต้องเอ่ยถึงการดิ้นรนต่อสู้ชีวิตในฐานะลูกกำพร้า ว่า จะยากลำบากขนาดไหน เมื่อโตเป็นสาวมีผู้มีฐานะมาสู่ขอไปเป็นสะใภ้หลายคน แต่ท่านก็มิตอบรับคนเหล่านั้นทั้งๆ ที่ญาติมิตรล้วนแต่มองว่านั่นคือโอกาสพลิกชีวิตได้อยู่บนกองเงินกองทอง เหตุที่มิได้ตอบตกลงเพราะท่านใช้ตาพิเศษเลือกคู่ มิใช่ตาธรรมดา

ขณะนั้นคุณแม่ชีพิมพาไม่ได้มีทิพยเนตรอะไรเลย แต่ท่านมีปัญญากล่าวคือ เมื่อมีเศรษฐีผู้หนึ่งมาสู่ขอท่านไปเป็นสะใภ้ ท่านก็อยากรู้ว่า ตระกูลที่จะไปอยู่ร่วมนั้นเป็นอย่างไร อาหารการกิน การทำทานนั้นวิเศษสักเพียงไร วันหนึ่งก็แอบสะกดรอยว่าที่แม่สามีไปตลาด สิ่งที่พบเห็นกับตาคือ

“เห็นเขาไปที่ร้านขายเนื้อ หยิบของเศษๆ ที่เขาทิ้งแล้วใส่ตะกร้า ต่อจากนั้นไปร้านขายหมู ขายปลาตามลำดับ ทำเช่นเดียวกัน ได้ของเต็มตะกร้าโดยไม่เสียเงินเลยสักสตางค์เดียว ดิฉันตัดสินใจในขณะนั้นทันทีว่า ไม่เอาแล้วคนรวยอย่างนี้ ลูกชายคงตระหนี่ถี่เหนียวแน่นเหมือนแม่ ถ้าเราซื้อของดีๆ มากินหรือทำบุญทำทาน เขาคงชี้หน้าด่าว่า อีขี้ทุกข์ มึงใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างนี้จึงทุกข์ยาก”

ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเลือกเอานายขิ้ม วงศาอุดม คนหนุ่มผิวคล้ำ ต่ำเตี้ยมาเป็นสามีเพราะสังเกตพบว่า ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนอารมณ์ดี น้ำใจดี เป็นคนรักษาศีลภาวนาทุกวัน พ่อแม่ก็เป็นคนมีศีลธรรมประจำใจ แม้ว่าจะยากจนแต่ก็เชื่อว่า จะมีความสุข

สามีภรรยาคู่นี้ต่อสู้ชีวิตมาด้วยความมุมานะ จากกระต๊อบหลังเล็กๆ เสาไม้ไผ่หลังคามุงจาก หาปูหาปลาทำปลาร้า ค้าข้าวเปลือกในที่สุดก็สร้างบ้านเรือนอันสวยงามได้ อยู่กินกันมา 10 ปีไม่มีลูกได้แต่เข้าวัดจำศีลทุกวันพระ ตัวท่านเองสุขภาพมิค่อยดีนักผู้เฒ่าผู้แก่จึงแนะนำให้มีลูกเพราะเชื่อว่า ถ้าได้ขับเลือดร้ายออกมาแล้วสุขภาพจะดีขึ้น ท่านเลยแต่งขันธ์ 5 ไปอธิษฐานขอลูกแต่คำอธิษฐานของท่านนั้นบ่งชัดว่า ยึดมั่นในทางธรรมและฉายแววความเป็นนางสิงห์โดยแท้

กล่าวคือ “ขอให้ข้าพเจ้ามีลูกและพร้อมกันนั้นก็ขอให้ลูกตายตั้งแต่ยังเล็กเพราะลูกจะเป็นเหตุขัดขวางการไปวัด”

และแล้วท่านก็ได้ลูกจริงๆ ขณะตนเองอายุ 31 ปี และเมื่อมีบุตรแล้ว พอลูกร้องสามีซึ่งรักลูกมากและไม่เคยพูดจาหยาบคายกับท่านกลับทนไม่ได้เมื่อลูกร้องไห้ ร้องเมื่อไหร่สามีก็จะบ่นว่าหยาบๆ คายๆ มึงๆ กูๆ ซึ่งท่านว่าฟังแล้วเสียดแทงหัวใจนัก เพราะอยู่ด้วยกันมา 10 กว่าปีไม่เคยพูดคำหยาบช้าใส่กันเลย ไม่ใช่แค่นั้นยังทำท่าหน้าบึ้งใส่กันอีก เลยคิดว่า ลูกจะเป็นเหตุให้แตกสามัคคีกัน ตั้งคำถามกับตัวเองว่าลูกจะพาไปสวรรค์นิพพานได้หรือ จึงบอกลูกขณะให้นมอยู่ว่า

“ลูกจ๋า ตายนะ ตายเสีย อยู่อย่าใหญ่เลย แม่จะไปจำศีลภาวนา แม่ไม่ได้ไปวัดมา 4 เดือนแล้ว ลูกรีบตายไวๆ นะ ลูกดูเหมือนจะรู้ความ มองหน้าแล้วยิ้ม ไม่นานอายุลูกได้ 4 เดือนเศษก็ตาย”

แม้จะอธิษฐานให้ลูกตาย แต่ใช่ว่า ท่านเป็นแม่ใจยักษ์เพราะท่านว่า พ่อแม่นั้นรักลูกไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า ความรักสามียังเปลี่ยนแปลงได้ เบื่อหน่ายก็ทอดทิ้งกัน เมื่อท้องก็อดเปรี้ยวหวานเค็มเพราะกลัวโทษจะเกิดแก่ตนและลูก ฉะนั้นบุญคุณของพ่อแม่นั้นจึงอักโขนัก

สองปีถัดมาท่านขอให้สามีไปแต่งงานใหม่เพราะตัวเองจะออกบวช สามีฟังแล้วเอาแต่ร้องไห้ก่อนบอกว่า “ชาตินี้ไม่ขอใจเป็นสอง”
ทำความเข้าใจกันอยู่ 3 วัน สามีถึงตัดใจออกบวชด้วย บางถ้อยคำนั้นมีว่า

“คนหนุ่มคาอะไร ข้องอะไร ข้องผู้หญิงข้องผู้ชายหรือ สิ้นลมแล้วผู้หญิงผู้ชายมีที่ไหนมีแต่สิ่งปฏิกูลโสโครก กำหนัดยินดีอะไรกับรูปผู้หญิง คิดดูเวลามีลมหายใจรักกันกอดกัน สมมติว่าผู้หญิงผู้ชาย สิ้นลมแล้วมีแต่สิ่งสกปรกบูดเน่า ไม่น่ารักน่าชม ความตายมันบอกไหมว่ามันจะมาถึงเราเมื่อไหร่ ดูแต่อาทำนายังไม่เสร็จ ลูกยังไม่ทันโต

ตอนกลางวันกินข้าวกันอยู่ที่นาเป็นอหิวาต์ ตอนเย็นตายเอาฟากห่อไปฝัง ยังไม่ทันได้กลับบ้าน มีบ้านตั้ง 2 หลัง 3 หลังยังไม่ได้นอน ตายก่อน เราเองก็เหมือนกัน พูดกันอยู่นี่ดีๆ เดี๋ยวนี้ กลับไปนอนอาเจียน 2-3 ครั้งก็เอาฟากห่อไปฝังเสียแล้ว จะรอให้แก่ทำไม น้องกลัวจะตายเสียก่อนไม่ทันได้บวช เพราะคนหนุ่มก็ตายคนแก่ก็ตายไม่มองดูหรือ ตายตั้งแต่อยู่ในท้องก็มี ถ้าพี่ตายก่อน น้องจะอยู่กับใคร ไม่มีแผ่นดินจะอยู่แล้ว ไปนะไปบวชด้วยกัน”

พอสามีปลงใจ ท่านก็อธิษฐานอีกหนว่าอย่าให้สามีเปลี่ยนใจ

แม้ต่างบวชแล้วแต่สายใยรักก็ใช่ว่าจะตัดขาดเสียทันที ท่านว่า ตอนเป็นฆราวาสเจ็บป่วยก็ดูแลกันแต่สองคนญาติพี่น้องไม่ได้มาดูแล พอบวชแล้วสามีป่วยก็ปลงใจว่า สามีกินอาหารได้แค่ไหน ตัวเองก็จะกินเท่านั้นเหมือนกัน ถ้าตายก็ให้ตายไปด้วยกัน พอสามีเสียชีวิตท่านเองก็กลั้นใจกะให้ตายตามกันไปแต่กลั้นไม่ไหวหายใจคืนกลับมาก็มีเสียงหัวเราะให้ได้ยินว่า คิดอย่างนี้มีแต่เจ้าคนเดียว ชาติไหนภาษาไหนจะตายด้วยกัน ใส่โลงเดียวกัน ไม่มีเลย มีแต่เจ้าคนเดียว

พอพิจารณาไปว่า เวลาคนตายธาตุอะไรออกก่อน ไฟหรือลม ก็พบว่า ลมออกก่อน

พอไล่ทวนดูว่า คนเรารักกันที่ไหนเพราะสุดท้ายร่างกายก็เปื่อยเน่าได้ความจาก “ผู้หนึ่ง” ตอบขึ้นว่า มันเป็นเพราะจิตหลงต่างหาก...” พอรู้ว่าความรักเป็นอาการของจิต คิดได้เช่นนั้น “ตาแตกปั้ง”

“ความรักเลยสิ้นลงตรงนั้น ในขณะตาแตก จิตสว่างจ้า จิตของเราเลยหายห่วงไปเลยในขณะนั้น ถึงจะไปตายที่ไหนก็ไม่ห่วงแล้ว เราก็รู้ว่าเราหลงแล้วมันก็ปล่อยวาง ไม่เป็นห่วงเลย...”

แล้วการพิจารณาสังขารก็ดำเนินไป กะโหลกศีรษะ มือ เท้าหาย เหลือแต่กระดูกขาท่อนเดียว พอมดมาแทะก็สลายเหลือแต่ดิน

สิ้นจากรักที่ผูกพัน รุ่งขึ้นจิตก็มีแต่ปีติเบิกบาน เบากาย เบาใจ

อย่างที่หลวงปู่เทสก์ว่า คุณแม่ชีพิมพาท่านไม่ได้รู้อะไร หนังสือก็ไม่รู้ รู้แต่ดี ไม่ดี รู้จิตรู้ใจตัวเอง ท่านต่อสู้กับความยากลำบากในการปฏิบัติธรรมมาโดยมิย่อท้อ เมื่อถึงคราวขับขันอับจนก็อาศัยเครื่องมือเดียวคือ การอธิษฐานเป็นเครื่องมือนำผ่านพ้นภยันตรายต่างๆ มาได้

เรื่องหนึ่งซึ่งน่าอัศจรรย์ใจมากคือ ในพรรษาที่ 11 ขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าพระสถิตย์ จ.หนองคาย กับเพื่อนแม่ชีอีก 2 รูป ไม่มีพระ ไม่มีผ้าขาวแม้แต่รูปเดียว วันหนึ่งโจรร้ายชื่อ เสือสง่าก็โผล่มากบดานอยู่ที่ป่าช้า ความร้ายกาจของโจรปล้นข่มขืนฆ่าผู้นี้ทำให้บรรดาแม่ชีทั้งหลายตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างสุดขีด พอทำวัตรเสร็จรีบเข้ากุฏิ อยู่เงียบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะจุดเทียน สุดท้ายเมื่อกลัวมากไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่เอาหนามเล็บเหยี่ยวมากั้นเป็นรั้วรักษาตัวเอาไว้ สุดท้ายท่านตั้งสัจจะอธิษฐานว่า

“ถ้าข้าพเจ้าจะมีบุญอยู่ในเพศนักบวชชี ขอคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดร มารดา ครูบาอาจารย์ คุณศีลธรรมให้ดลบันดาลจิตครูบาอาจารย์ จะหูหนวกตาบอดก็ช่าง จะเป็นสามเณรหรือชีปะขาวก็ได้ แต่ขอให้เป็นเพศพรหมจรรย์ด้วยกัน ให้มาในสถานที่นี้ภายใน 3-7 วันจะนับถือเป็นครูบาอาจารย์ ถ้าเลยไปจากนี้ ไม่มีใครมา ข้าพเจ้าจะสึกเพราะไม่มีบุญเสียแล้ว”

หลังอธิษฐานได้เพียง 3 วัน ปรากฏว่ามีพระถึง 20 รูปเดินทางมาถึงวัดป่าพระสถิตย์ในวันเดียวและแทบจะเป็นชั่วโมงเดียวกันด้วยซ้ำ แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ต่างรูปต่างมาโดยไม่ได้นัดหมายกันเลย

ครูบาอาจารย์ที่ท่านเอ่ยนามไว้ในบันทึกก็มี “พระอาจารย์สุวัจน์ อาจารย์วัน อาจารย์สม อาจารย์สิงห์ทอง อาจารย์ประยูร อาจารย์เพ็ญ หลวงพ่อแวง หลวงพ่อลา พระอาจารย์คำมุ่ย ฯลฯ”

พระอาจารย์สุวัจน์ รูปนี้ก็คือ พระอาจารย์สุวัจ สุวัจโจ

พระอาจารย์วันก็คือ พระอาจารย์วัน อุตตโม

อาจารย์สิงห์ทองก็คือ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร นั่นเอง

ครูบาอาจารย์เหล่านี้เล่าให้ท่านฟังว่า สวดมนต์ไหว้พระเสร็จ รู้สึกคิดถึงคุณแม่มาก คิดว่าอาจจะเจ็บป่วยหรือคงจะเป็นอะไรสักอย่าง อยู่ไม่ได้มันร้อนใจเลยรีบมา ข้างพระอาจารย์สุวัจน์ก็ว่า สงสัยจะเป็นเพราะคำอธิษฐานของคุณแม่กระมัง

คุณแม่ชีพิมพาเป็นศิษย์ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายรูป รวมทั้งหลวงปู่เทสก์ เมื่อหลวงปู่เทสก์กลับจากเผยแผ่ธรรมะที่ภาคใต้ คืนสู่อีสาน ท่านได้มาพำนักที่วัดหินหมากเป้งและได้อาศัยหลวงปู่เทสก์ชี้แนะเรื่อยมา

คุณแม่ชีพิมพาท่านเป็นรัตตัญญู คือ เป็นผู้รู้ราตรีนาน เจริญทั้งวัยและเจริญทั้งธรรม

เมื่อมีพ่อแม่ครูอาจารย์ไปวัดหินหมากเป้งท่านทั้งหลายเหล่านั้นมักจะได้แวะสนทนากับคุณแม่พิมพาอยู่เสมอ และคุณแม่ก็มีความเคารพในพระสงฆ์อย่างยิ่ง แม้จะเฒ่าชราแล้ว ครูอาจารย์จะขอให้นั่งตามสะดวกกับสังขารแต่ท่านก็ไม่ยอม พยายามนั่งในที่เหมาะสมไม่เทียบชั้นครูบาอาจารย์

ว่ากันว่า เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินก็เคยมีรับสั่งถามกับท่านว่า “เขาว่าคุณแม่เป็นอรหันต์หรือ ?” ท่านก็ไม่ตอบได้แต่ยิ้มๆ

คุณแม่ชีพิมพาเคยกล่าวไว้ว่า บาปหรือบุญล้วนขึ้นอยู่กับกายวาจาใจของเราทั้งสิ้น ถ้าสังเกตจิตใจของตนเองว่า จะไปทางบุญหรือทางบาป ก็รู้อยู่ที่จิตดวงเดียวนี้หละ ขอให้มีสติตรวจดูจิตของเราเองก็แล้วกัน ให้เราสอนจิตของตนเองถึงจะรู้ทั้งเหตุและผลของตนเองหมดทุกอย่าง ถ้าจิตรู้แจ้งเห็นจริงถึงเหตุและผลของตนเองหมดทุกอย่าง ตามปัญญาเห็นชอบมาแล้วนั้นมันก็ปล่อยวางลงไปตามสภาพเดิมของธรรมชาติ

ธรรมดาที่มีอยู่ประจำคือ เมื่อเกิดแล้ว ตั้งอยู่ไม่นานก็ดับลงไปอีก มีแต่เรื่องทุกข์ จึงเรียกได้ว่า สัพเพสังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สัพเพธัมมา อนัตตาติ ไม่มีอะไรหยุดปรุง หยุดแต่งก็มีสติ สัมปชัญญะ เป็นผู้รู้ปล่อยวางไปได้หมด เพราะปัญญานั้นได้กำลังของสมาธิคือ ความสงบของจิต ตามขั้นตอนก็จะเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ตามแต่มันเป็นพลังของจิตให้ก้าวหน้าขึ้นไปได้ ไม่ต้องฝากเป็นฝากตายอะไรทั้งนั้นเลย เป็นผู้เชื่อกรรมเชื่อผลของกรรมได้อย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญมากขึ้น...

“...ให้เราใช้ปัญญาของเรา ให้มันตัดสินใจของเรา ให้มันลงไปให้มันถึงพระไตรลักษณ์ให้หมดทุกอย่าง แล้วมันก็จะรู้ว่าเราอยู่ในหน้าที่ของมันก็มีแต่ของไม่เที่ยงทั้งหมด แล้วเราก็หลงเข้าไปยึดถือเอาไว้ทั้งหมด มันก็มีแต่เรื่องถูกทั้งหมด แล้วมันก็เป็นผู้รู้ถึงเหตุและผล แล้วก็ปล่อยวางไปได้อย่างแท้จริง แล้วก็หยุดปรุงหยุดแต่งไปตามเรื่องโลกอีกแล้วก็เรียกว่า เป็นผู้รู้แท้เห็นจริง แล้วก็ปล่อยวางไปได้อย่างแท้จริง ก็ไม่มีอะไรจะมาทำให้เราหลงอยู่ในของไม่เที่ยงอันนี้อีกแล้ว”

วางรัก วางหลง แล้วใช้สติ ปัญญาตัดตรงเข้าสัจจะเยี่ยงคนใจสิงห์ คุณแม่ชีพิมพาจึงจากไปอย่างผู้ปล่อยวางได้อย่างแท้จริงในที่สุด

ประวัติปฎิปทาฉบับเต็ม : http://www.dharma-gateway.com/ubasika/pimpa/ubasika-pimpa-hist-01.htm

หลวงพ่อชา สุภัทฺโท ต่อสู้กามราคะ

หลวงพ่อชา สุภัทฺโท 
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
ต่อสู้กามราคะ 
"เหตุเกิด เพราะ แม่ม่ายสาวสวย แถมรวยทรัพย์คนหนึ่ง มาถวายจังหันหลวงพ่อชาทุกวัน ไม่ช้าไม่นาน หลวงพ่อรู้สึกว่า

สีกาม่ายคนนี้ คิดมิดีมิร้าย กับท่านเสียแล้ว ตัวท่านเอง จิตใจก็ชักหวั่นไหว …

มารกับธรรมะสู้รบกันอย่างหนักหน่วง ภายในจิต กระทั่งท่านคิดปรุงแต่งเรื่องของแม่ม่าย จนรู้สึกว่าจะไว้ใจตัวเอง ไม่ได้แล้ว ท่านก็เลยตัดสินใจเก็บบริขาร รีบจากวัดบ้านต้อง ในกลางดึก!

ไปหา หลวงปู่กินรี จันทิโย ยังวัดป่าเมธาวิเวก ระยะที่ พักอยู่นั้น ท่านได้ทำความเพียร ปฏิบัติธรรม อย่างเคร่งครัด แต่ กามราคะ
ก็ได้เข้ามา รุมเร้าหลวงพ่อชา อย่างรุนแรง!

ไม่ว่าจะเดินจรม นั่งสมาธิ หรืออิริยาถใดก็ตาม ปรากฎว่า มีอวัยวะเพศของผู้หญิง ลอมปรากฎเต็มไปหมด เกิดความรู้สึกรุนแรง เดินจงกรมก็ไม่ได้เพราะ องค์กำเนิด ถูกผ้าเข้า ก็มีอาการไหวตัว

ต้องให้เขา ทำที่จงกรมในป่าทึบ เพื่อเดินเฉพาะในเวลาค่ำมืด และเวลาเดิน ต้องถลกสบงพันเอวไว้ การต่อสู้กับกามราคะ เป็นไปอย่างทรหดอดทน ขับเคี่ยวกันอยู่นาน ถึง ๑๐ วัน

… ความรู้สึก และ นิมิตเหล่านั้น จึงสงบและหายขาดไป

กามราคะ ก็เหมือนกับสุนัข ถ้าเอาข้าวเปล่าๆ ให้กินทุกวันๆ มันก็อ้วน อย่างหมูเหมือนกัน การปฏิบัตินั้น ยากหลายอย่าง แต่ที่ยากจริงๆ

ก็เรื่องผู้หญิง นี่แหละ … ระวังนะ! อย่าให้งูเห่ามันฉก วันไหน มันแผ่แม่เบี้ยมากๆ ก็ให้ทำความเพียรให้มาก!"

คืนหนึ่งในพรรษานั้น หลังทำความเพียรเป็นเวลาพอสมควร หลวงพ่อได้ขึ้นไปพักผ่อนบน กุฏิ กำหนดสติเอนกายลงนอน พอเคลิ้มไปเกิดนิมิตเห็นหลวงปู่มั่น เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ แล้วส่งลูกแก้วให้ลูกหนึ่ง พร้อมกับกล่าวว่า...

"ชา... เราขอมอบลูกแก้วนี้แก่ท่าน มันมีรัศมี สว่างไสวมากนะ"

ในนิมิตนั้น ปรากฏว่าตนได้ลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับยื่นมือไปรับลูกแก้วจากหลวงปู่มั่นมากำไว้ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นแปลกใจมาก ที่พบตัวเองนั่งกำมืออยู่ดังในความฝัน จิตใจเกิดความสงบระงับผ่องใส พิจารณาสิ่งใดไม่ติดขัด มีความปลื้มปิติตลอดพรรษา

พระ อาจารย์รูปหนึ่งกราบเรียนถามหลวงพ่อชาว่า

บางครั้งก็ภาวนาไม่ลง เพราะถ้าเห็นผู้หญิงสาวสวย ๆ ก็เกิดมีความรัก ชอบมองดู ผมเขาก็สวยดูเรือนร่างของผู้หญิงแล้วสวยงามไปหมด ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร

นั่นแหละเราไปหลงในรูปร่างกายของคนอื่น ถ้ายึดว่าสวยก็ไปหลงรัก ถ้ายึดว่าไม่สวยก็ไปหลงชัง

เพราะเรายังภาวนาไม่เป็นเกิดความมัวเมา ลุ่มหลงอย่างนั้น ดูให้แน่ชัดซิว่ามันสวยจริง ๆ หรือ ถ้ามันยังตอบว่าสวยจริง ๆ ก็หันไปดูแม่ยายของเขาเสียก่อนว่า มีสภาพเป็นอย่างไร ผมที่ว่าดำสลวยสวยงามนั้น อีกไม่นานก็จะหงอกขาว

เนื้อ หนังที่เต่งตึงในวัยสาวพอถึงวัยชรามันก็เหี่ยวย่น หย่อนยานไป นับวันจะทรุดโทรมลงทุกวัน ๆ ดูแม่เขาซิ เมื่อก่อนเขาก็สวย แต่เดี๋ยวนี้เขาก็มีอันเปลี่ยนไปดูไม่ได้ใช่ไหม นั่นแหละมันเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ

กฏของสภาวะธาตุที่ไม่มีใครจะ ฝ่าฝืนได้ ควรที่เราจะหันมาค้นคว้าพิจารณาดู เพื่อให้รู้แจ้งทั้งร่างกายของเราและของคนอื่นด้วยการพิจารณาอสุภกรรมฐาน เพื่อเพิกถอนความลุ่มหลงของจิตใจให้จางคลายไป

เพราะหมดความสงสัย ว่าสวยว่างาม เพราะเราดูเพียงผิวเผินจึงทำให้ลุ่มหลงเอามาก ๆ ให้พวกเราพิจารณาให้ลึกซึ้งด้วยปัญญา จึงจะเห็นตามสภาพความเป็นจริง จึงจะสามารถถอดถอนความกำหนัดยินดีออกจากจิตใจได้

“ออกมาแล้วยังอยากจะกลับเข้าไปอีกเหรอ กว่าจะคลอดออกมาได้ จมอยู่กับของสกปรก ผ่านของสกปรกมามากแค่ไหน ยังไม่รู้สึกอีก”

“กาม นี้พระพุทธเจ้าหรือปราชญ์ทั้งหลายท่านสอนว่า เหมือนกันกับคนกินเนื้อสัตว์ เมื่อมันเข้าไปในซี่ฟันเจ็บปวด แล้วก็เอาไม้มาจิ้มมันออก แหม ! สบายนะ เดี๋ยวก็คิดอยากอีกแหละ อยากเนื้ออีกก็มากินอีก

เนื้อมันก็ยัดเข้า ไปในซี่ฟันแล้วก็ปวดอีก ไปหาไม้มาแหย่มันออกจิ้มมันออก แล้วก็สบายอีกแล้ว แต่นึกไปอีกอยากอีก ใช่ไหม ไม่รู้จัก ยังงั้นถึงเป็นกรรม กามนี่ขนาดนี้ ไม่ดีไปกว่านั้น พอปานนั้นแหละ

โอวาทธรรมหลวงปู่ศรี มหาวีโร


โอวาทธรรมหลวงปู่ศรี มหาวีโร 
วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด

"ในพรรษานั้นเราป่วยเป็นโรคเหน็บชา เท้าชาทั้งสองด้านแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใช้มือหยิกบริเวณเนื้อขาก็ไม่รู้สึกอะไรเลย มันด้านชาไปหมด หาหยูกยาอะไรก็ไม่มี จึงคิดได้ว่า

“เอายาที่ไหนมารักษามันก็คงไม่หาย เอายาที่เราหาอยู่ทุกวัน นั้นก็คือธรรมโอสถ"

จากนั้นจึงตกลงปลงใจตั้งสัจจะนั่งสมาธิ ขอโอกาสเพื่อนฝูงที่อยู่ร่วมกันว่า

“ผมจะนั่งสมาธิรักษาโรค จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปีก็ตาม ถ้าโรคไม่หายผมจะไม่ออกจากสมาธิ ถึงแม้จะตายก็ตาม ก็ขอตายในท่านั่งสมาธิ น้ำไม่ดื่ม ข้าวไม่ิฉันตั้งใจนั่งสมาธิพิจารณาสังขารเพียงอย่างเดียว ทำสมาธิอย่างเดียวเท่านั้น”

ในขณะที่ปฏิบัตินั้นกำหนดจดจ่อ เร่งสติเข้าอย่างเต็มที่ เร่งสมาธิเข้าอย่างเต็มที่ พิจารณาว่า โรคมันอยู่ตรงไหนมุมใดของร่างกาย พิจารณาจนละเอียดถ้วนถี่ เมื่อพิจารณาธาตุขันธ์ส่วนต่าง ๆ จนละเอียดถี่ถ้วนด้วยสติปัญญาที่คล่องตัว เลือดลมที่เหือดแห้งไปก็กลับไหลเวียนผ่านส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยสะดวกทั่วถึง

เราปฏิบัติแบบสละชีวิตเป็นเวลาไม่นานนัก เพียง ๓ วัน ๓ คืนเท่านั้น ในการปฏิบัติคืนแรกเรายกขาขึ้นเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น ส่วนคืน ๒ และคืนที่ ๓ ไม่ได้ยกขา นั่งทีเดียวตลอดเลย

การตั้งสัจจะของเราไม่ได้ตั้งเพียง ๓ คืน แต่ตั้งไว้ว่าถ้าไม่หายจะไม่ยอมลุกจากที่ แต่พอถึงวันที่ ๓ ของการปฏิบัติโรคร้ายได้หายขาด จึงออกจากสมาธิ โรคเหน็บชาที่ว่าร้าย ๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้งจนถึงทุกวันนี้ เราปฏิบัติแบบสละตายไม่อาลัยในชีวิตนั่นแหละมันถึงได้ ของเหล่านี้มันต้องมีเหตุ จึงมีเรื่องเกิดขึ้น”

พระทุกวันนี้วิ่งเหนือวิ่งใต้หาแต่หยูกยา ถ้าหากว่าเราชำนิชำนาญในทางสมาธิ สมาธิก็สามารถแก้โรค ส่วนท่านผู้ใดถึงระยะที่จะต้องตายแล้ว เอายาอะไรมาแก้ก็ไม่ได้ ส่วนท่านผู้ใดที่ยังไม่ถึงระยะก็สามารถใช้สมาธิแก้โรคได้

ส่วนผู้ไม่มีสมาธิแม้ไม่ถึงวัยที่จะต้องตาย แต่ถ้าหากมีโรคร้ายเกิดขึ้น ก็มีอันต้องตายไปก่อนก็มี เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับบุพกรรมที่เคยทำมา

วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่กินรี จนฺทิโย


 หลวงปู่กินรี จนฺทิโย
วัดกันตศิลาวาส ต.ฝั่งแดง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม 
หลวงปู่กินรี จันฺทิโย ท่านได้เล่าเรื่องราวของท่านสมัยที่ท่านไปฝึกอบรมกรรมฐานกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านมักจะเอ่ยถามท่านว่า

“กินรี ได้ที่อยู่แล้วหรือยัง ?”

คำถามของหลวงปู่มั่นนั้นมิได้หมายถึงที่อยู่ในวัดปัจจุบัน แต่ท่านถามถึงส่วนลึกของใจว่ามีสติตั้งมั่นหรือยัง ถ้ายังท่านก็จะกล่าวอบรมต่อไป ซึ่งส่วนมากหลวงปู่มั่นท่านจะเน้นให้เห็นถึงว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นบ่อเกิดของความทุกข์

เพราะเกิดจากอวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้งในความเป็นของไม่เที่ยง ในความเป็นของเสื่อมโทรมของธาตุขันธ์ทั้งหลาย เป็นเหตุ และเพราะความไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริงว่ามันมิใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่รู้จักความไม่เที่ยง ไม่รู้จักความเป็นทุกข์ และไม่รู้ความเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตนตามความเป็นจริงแล้ว อาสวะกิเลส คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ย่อมครอบงำจิตของคนๆ นั้นให้มืดมัว เร่าร้อนและเป็นทุกข์ได้ในที่สุด

และท่านได้เล่าให้สานุศิษย์ทั้งหลายฟังอยู่เสมอว่า

ในขณะที่ท่านนั่งสมาธิบริกรรมภาวนาอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าจิตค่อยๆ สงบเข้าไปทีละน้อยๆ แล้วปรากฏว่า ทั้งร่างกายและเนื้อหนังของท่านนั้นได้เปื่อยหลุดออกจากกันจนเหลือแต่ซากของกระดูกอันเป็นโครงร่างที่แท้จริงในกายของท่านเอง

“สิ่งที่ปรากฏในอาการอย่างนั้นมันชวนให้น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก” หลวงปู่ท่านกล่าว

ประสบการณ์ในธรรมโดยลักษณะนี้ ได้เกิดขึ้นกับหลวงปู่ท่านอีกครั้งหนึ่งในเวลาต่อมา แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าในขณะนั้นท่านพำนักอยู่ที่ใด ซึ่งครั้งนี้ท่านกล่าวว่า

“ในขณะที่ภาวนาอยู่นั้นได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในตัว เปลวเพลิงได้ลุกลามพัดไหม้ทั่วร่าง ในที่สุดก็เหลืออยู่แต่ซากกระดูกที่ถูกเผา และคิดอยู่ที่นั้นว่าร่างกายคนเราจะสวยงามแค่ไหน ในที่สุดมันก็ต้องถูกเผาอย่างนี้เอง”

หลวงปู่กินรีท่านได้ใช้ชีวิตอยู่กับท่านหลวงปู่มั่นเพียง ๒ ปี เท่านั้น ส่วนเวลานอกนั้นท่านมักจะอยู่ตามลำพัง เป็นตัวของตัวเองมากกว่า ส่วนผู้ที่หลวงปู่กินรีจะลืมเสียมิได้ถึงแม้จะมาอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่นก็ตาม ท่านคือ พระอาจารย์หลวงปู่ทองรัตน์ เพราะท่านเป็นผู้ที่ให้วิชาความรู้ในการปฏิบัติแก่หลวงปู่

นับว่าเป็นองค์แรกที่เป็นอาจารย์ของหลวงปู่กินรี ซึ่งท่านมักจะไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้หลวงปู่กินรีชอบอยู่อย่างสันโดษแต่ผู้เดียวนั้น เนื่องจากท่านเป็นพระมหานิกาย ไม่ได้ญัตติเป็นธรรมยุตเช่นพระทั้งหลายรูปอื่นๆ

หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล (ครูบาจารย์เฒ่า) เป็นบูรพาจารย์พระกรรมฐานฝ่ายมหานิกายระดับแนวหน้าของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต แต่เพียงผู้เดียว หลวงปู่มั่นท่านให้เหตุผลว่า

“ถ้าพากันมาญัตติเป็นพระธรรมยุตหมดเสียแล้ว ฝ่ายมหานิกายจะไม่มีใครแนะนำการปฏิบัติ มรรคผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกายหรอก แต่มรรคผลขึ้นอยู่กับการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำสั่งสอนไว้แล้ว ละในสิ่งที่ควรละ เว้นในสิ่งที่ควรเว้น เจริญในสิ่งที่ควรเจริญ นั่นแหละทางดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพาน

บรรดาศิษย์ฝ่ายมหานิกายที่ท่านได้อนุญาตให้ญัตติตอนนั้นมีหลายรูป และที่ท่านไม่อนุญาต มีท่านพระอาจารย์ทองรัตน์เป็นต้น”

เรื่องระหว่างธรรมยุติกับมหานิกาย เป็นเรื่องที่ยกขึ้นมาพูดหลังพุทธปรินิพพานนานแล้ว ทำให้ผู้ไม่เข้าใจในเรื่องนี้ดีพอ ต้องไขว้เขวไปด้วย จนเกิดเรื่องเกิดราวกันมานับไม่ถ้วน

ในสมัยครูบาจารย์เฒ่าทองรัตน์ ต้องมีเรื่องวิพากษ์วิจารณ์กันมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางรูปก็ว่าครูบาจารย์เฒ่าทองรัตน์ไม่ได้ญัตติ ไม่น่าให้ร่วมสังฆกรรมด้วย บางรูปก็ว่าในเมื่อมีข้อวัตรปฏิบัติเหมือนกัน แถมยังเป็นลูกศิษย์พ่อแม่ครูบาอาจารย์เดียวกัน ควรที่จะให้ร่วมสังฆกรรมด้วย

ก่อนถึงวันลงอุโบสถ พระเณรกำลังกังวลกันในเรื่องนี้มาก กลัวว่าเมื่อรวมสังฆกรรมแล้วจะไม่เกิดผลดีต่อคณะสงฆ์ศิษย์ทั้งสองฝ่าย เพราะเหตุเคลือบแคลงสงสัยในสังฆกรรมนั้น หลวงปู่มั่นได้หาอุบายเพื่อให้พระเณรคลายสงสัย หลวงปู่มั่นจึงถามครูบาจารย์เฒ่าในท่ามกลางสงฆ์ที่รวมฉันน้ำปานะด้วยกันว่า

“ท่านทองรัตน์สงสัยในสังฆกรรมอยู่บ้อ”

ครูบาจารย์เฒ่ากราบเรียนพร้อมกับพนมมือ

“โดยข้าน้อย ข้าน้อยบ่สงสัยดอกข้าน้อย” (ครับกระผม กระผมไม่สงสัยหรอกขอรับ)

“เออ..บ่สงสัยกะดีแล้ว ให้มาลงอุโบสถนำกันเด้อ” (เออ..ไม่สงสัยก็ดี ให้มาลงอุโบสถร่วมกันนะ)

หลวงปู่มั่นพูดด้วย ครูบาจารย์เฒ่าก็ไม่อยากให้ครูบาอาจารย์ต้องลำบากใจจึงพูดไปว่า “โดยข้าน้อย บ่เป็นหยังดอก ข้าน้อย ข้าน้อยขอโอกาสไปลงทางหน้าพู้นดอกข้าน้อย” ครูบาจารย์ตอบพร้อมกับพนมมือรับ

และต่อๆ มาเมื่อมีพระมหานิกายที่ไปกราบขอศึกษาประพฤติปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ที่ยังไม่ญัตติหรือไม่ประสงค์จะญัตติ ท่านก็บอกให้ไปศึกษากับครูบาจารย์ทองรัตน์ตลอด พระสงฆ์ที่ไปขอศึกษาประพฤติปฏิบัติกับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ที่ไม่ได้ญัตติ บางรูปถึงแม้จะไปขอญัตติท่านก็ไม่ญัตติให้ โดยท่านให้เหตุผลว่า

“ถ้าพากันมาญัตติหมดจะทำให้พระสงฆ์เกิดการแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่ามากกว่าที่เป็นอยู่”

ซึ่งหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะคืนนิกาย
ทั้งสองนั้นให้เป็นอันเดียวกัน

ประวัติปฎิปทาหลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร


หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร 
วัดถ้ำผาผึ้ง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ 
ผู้ที่ได้รับฉายาจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบว่า " พระอรหันต์ผู้ประเสริฐดั่งพระจันทร์วันเพ็ญ "..

หลวงปู่ชอบท่านเล่าเรื่องหลวงปู่บุญจันทร์วัดถ้ำผาผึ้งเชียงใหม่ให้ฟัง ท่านบอก ท่านบุญจันทร์เป็นลูกศิษย์เราอีกองค์หนึ่งที่รู้ธรรมเร็วตั้งแต่พรรษาเจ็ด เราอยู่บ้านหนองอ้อกับท่านอาจารย์ขาว

เรานิมิตเห็นช้างเผือกมาหมอบลงต่อหน้าเอาดอกไม้ธูปเทียนถวายเรา เราพูดเรื่องนี้ให้อาจารย์ขาวฟัง อาจารย์ขาวท่านบอกอาจารย์ชอบจะได้ช้างเผือกมาเลี้ยงอีกเชือกหนึ่ง..

ไม่กี่วันท่านบุญจันทร์ก็มาหาเรา ตอนค่ำวันนั้นเราเดินจงกรมอยู่ข้างที่พักเห็นท่านบุญจันทร์แบกบาตรสะพายกลดเข้ามาหา ท่านถามเราว่าอาจารย์ อาจารย์ชอบท่านพักอยู่นี่บ่ เราก็บอกเรานี่แหละคืออาจารย์ชอบ ท่านบุญจันทร์คุกเข่าลงพนมมือไหว้เรา..

เราถามไปจั่งใด๋มาจั่งใด๋ถึงได้มาหาเราถึงที่นี่ ท่านบุญจันทร์บอกข้าน้อยมาจากเมืองขอนแก่นตั้งใจจะมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านอาจารย์อ่อนบอกว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาพักอยู่ที่นี่ข้าน้อยเลยตามมาหา ตอนท่านจันทร์มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์เรา ท่านจันทร์พรรษาสี่(หน้าหนาวต้นปี ๒๔๙๔)..

ท่านจันทร์เล่าเรื่องภาวนาให้เราฟัง จิตท่านจันทร์สว่างนิ่งมาสามสี่ปีหาทางออกไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะออกจากอาการที่จิตเป็นแบบนี้ได้..
เราบอกนี่จิตท่านมันเป็นสมถะเต็มภูมินะ จิตเป็นแบบนี้ยังไม่พ้นทุกข์ ภูมิชั้นนี้ยังเป็นภูมิโลกไม่ใช่ภูมิพระ ภูมิแบบนี้ฤษีชีไพรก็เป็นได้เหมือนกัน เราก็บอกท่านจันทร์ให้ถอนจิตออกมาจากชั้นอัปปนาสมาธิ

ให้ทรงจิตอยู่กึ่งกลางระหว่างอัปปนากับอุปจาระ หมุนจิตเข้ามาพิจารณาในกายของตน พิจารณากายส่วนไหนก็ได้ตามที่นิสัยของจิตมันชอบ ให้พิจารณาเข้าออกๆอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจิตมันจะชำนิชำนาญแตกฉานในอสุภกรรมฐาน..

จิตท่านจันทร์จะชำนาญในการพิจารณากระดูก ท่านจันทร์พิจารณากระดูกจนแตกละเอียดอยู่ถ้ำปากเปียงเชียงใหม่ ท่านจันทร์ถามเราว่า

ข้าน้อยพิจารณากระดูกจนแหลกป่นปี้หมดแล้ว

เราก็ถามว่าได้กำหนดตั้งรูปมันขึ้นมาพิจารณาอีกบ่

ท่านจันทร์บอกข้าน้อยกำหนดขึ้นมาเป็นรูปได้ พอจะพิจารณากระดูกทั้งหลายก็แตกสลายป่นปี้ไปหมด มันจะพังพาบๆอยู่อย่างนี้..

เราบอกท่านจันทร์ ท่านพ้นกามในสิ่งที่เป็นของหยาบไปได้แล้ว ถึงท่านจะกำหนดรูปขึ้นมาได้ พอเดินปัญญาเข้าไป สิ่งเหล่านี้ก็จะพังพาบลงทันที เพราะจิตมันขาดกันไปแล้วกับธรรมส่วนที่เป็นของหยาบ จิตท่านพ้นจากรูปธรรมที่เป็นของหยาบไปแล้ว ต่อไปให้พิจารณาในส่วนที่เป็นนามธรรมซึ่งเป็นของละเอียด..

ให้ท่านจับเงื่อนเวทนาเข้าไปให้เห็นสัญญา พิจารณาสัญญาเข้าไปให้เห็นสังขาร พิจารณาสังขารเข้าไปให้เห็นวิญญาณ พิจารณาวิญญาณเข้าไปให้เห็นอวิชชาปัจยการ เมื่อเห็นอวิชชาปัจยการแล้ว ทุกอย่างมันจะถูกมหาสติมหาปัญญาทำลายลงไปทั้งหมด จิตจะเป็นธรรมธาตุยิ่งใหญ่..

ถึงตอนนั้นท่านบ่ต้องไปถามใครอีกแล้วว่าท่านเป็นอะไร..

หลังจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบให้อุบายธรรมแก่ หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร ท่านก็มาพักอยู่ที่สำนักสงฆ์ห้วยน้ำริน หลวงปู่บุญจันทร์ท่านรับเอาอุบายธรรมจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบไปปฏิบัติ หลวงปู่บุญจันทร์ท่านพิจารณาในนามธรรมซึ่งเป็นธรรมอันละเอียดอ่อนอยู่ห้าหกเดือน..

หลวงปู่บุญจันทร์ท่านก็บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ “ ฉฬภิญโญ ” เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ ที่ วัดถ้ำปากเปียง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่..

เรื่องนี้หลวงปู่ชอบท่านย้ำให้บันทึกไว้ ท่านบอกต่อไปถ้าเราตายไปแล้วท่านจะถามใครไม่ได้อีกในเรื่องภาคปฏิบัติ..

๒๗ กันยายน ๒๕๓๖ ที่ห้องพักหลวงปู่ชอบศาลาบำเพ็ญกุศลวัดป่าโคกมน..

Cr: วีระศักดิ์ โพธิสัตย์ (คูบากล้วย)

วิธีดูนิมิต พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป 
วัดอรัญญวิเวก บ้านปง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

ครั้งหนึ่งพระอาจารย์เปลี่ยนได้รับนิมิตว่า มีผู้หญิงอายุมากแล้วคนหนึ่งใส่บาตรท่านเพียงครั้งเดียว ได้เคยคิดจะถักหมวกถวายท่านเพื่อสวมในหน้าหนาว ท่านเห็นในนิมิตว่า เขาไปหาท่านและพูดว่า

“จะขอลาแล้ว”

พระอาจารย์เปลี่ยนจึงส่งจิตไปดูที่บ้าน พบว่ากำลังใกล้จะตาย ลมหายใจสั้นลง และสิ้นในที่สุด พอตายแล้วมีผู้หญิงสองคนมาจับแขนผู้หญิงที่ตาย แล้วเอาแส้เฆี่ยนตีด้วย รุ่งขึ้นเช้า พระอาจารย์เปลี่ยนออกบิณฑบาตได้พบลูกเขยของผู้หญิงคนนั้น

จึงถามว่าแม่เสียแล้วใช่ไหม ลูกเขยแปลกใจที่ท่านทราบ พระอาจารย์เปลี่ยนจึงบอกว่าเขาไปลาท่านที่วัด เขาไปไม่มีสุข เขามีทุกข์ ทำบุญอุทิศให้เขาบ้าง และใส่เสื้อให้เขาด้วย

ปกติผู้หญิงคนนี้ชอบทำแต่ปาณาติบาต แต่ลูกเขยและลูกสาวชอบทำบุญอยู่เสมอ นิมิตในเรื่องนี้จึงเป็นทุคตินิมิต

ส่วนสุคตินิมิตนั้นพระอาจารย์เปลี่ยนได้พบในเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งชอบถวายดอกไม้ ธูปเทียน ทุกครั้งที่ไปวัดหรือไปหาพระอาจารย์เปลี่ยน เมื่อตายแล้วปรากฏว่ามีดออกไม้เคารพศพเป็นจำนวนมาก หญิงผู้นี้ได้ไปสู่สุคติ

นอกจากนั้นชาวบ้านหลายคนที่เคยถวายปัจจัยค่ารถ ค่ายานพาหนะแก่พระ เมื่อเวลาจะละสังขารไป บางคนมียานลอยลงมารับ บางคนมีรถมารับ เพื่อพาไปยังสถานที่ที่เป็นทิพย์ ซึ่งเขาได้สร้างสมบุญไว้

วันหนึ่งท่านไปบิณฑบาต สังเกตเห็นสุนัขตัวเมียตัวหนึ่งอยู่กับเจ้าของบ้านที่เป็นผู้หญิง เมื่อท่านไปบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านนี้ สุนัขจะวิ่งไปเตือนให้เจ้าของบ้านได้รู้ แล้วรีบนำอาหารออกมาใส่บาตร สุนัขทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำ

พระอาจารย์เปลี่ยนจึงตั้งจิตดูสุนัข จึงรู้ว่า เมื่อก่อนสุนัขเคยเกิดเป็นลูกสาวของเจ้าของบ้าน แต่ผิดศีลข้อสามเพราะคบชู้ เมื่อสามีรู้ก็ไม่ยอมรับ พร้อมกับสาบานว่าถ้ามีชู้จริงขอให้เกิดเป็นสุนัขด้วย ผลของกรรมนี้เมื่อตายไปจึงเกิดเป็นสุนัขอาศัยอยู่กับหญิงเจ้าของบ้านนั้นเอง ท่านจึงบอกเจ้าของบ้านให้รู้และดูแลสุนัขให้ดี

ส่วนนิมิตรูปสัตว์ต่างๆ เช่น วัว ควาย สุนัข แมว มีผ่านเข้ามาให้ท่านเห็นประจำ เป็นเพราะจิตผู้นั้นยังต่ำหรือเคยเป็นสัตว์นั้นมาก่อน แต่ยังไม่หมดวิบากกรรม จึงพาให้เห็นในรูปเดิม เช่น คราวที่อยู่วัดป่าสะลวง มีพระจากผาแด่นมาพักที่วัด

ท่านได้รับนิมิตว่ามีพระมา 2 องค์ มีลักษณะเป็นควายมานอนอยู่ที่ศาลา รุ่งขึ้นเช้าเตรียมตัวออกบิณฑบาตได้พบพระ 2 องค์นั้นจริง แต่ยังนอนหลับอยู่บนศาลา ได้ทราบภายหลังว่า พระทั้ง 2 องค์บวชได้ 10 พรรษาแล้ว แต่การภาวนายังไม่ก้าวหน้า

เมื่อมีโอกาสเรียนถามหลวงปู่ตื้อ ท่านอธิบายว่าเป็นเพราะจิตไม่ถึงไหน ยังเป็นสัตว์อยู่ จึงเห็นนิมิตอย่างนั้น

ครั้งหนึ่งขณะนั่งภาวนา เห็นนิมิตผู้หญิงคนหนึ่งเดินยิ้มมาพอเข้ามาใกล้ก็เป็นสุนัข จากสุนัขเป็นแมว ก่อนจะถึงท่านก็กลับเป็นอีกคน เมื่อได้พบหญิงนี้จริง ท่านเห็นเป็นการไม่สมควรเพราะไม่มีผู้ชายอยู่จึงไล่ให้กลับก่อน

เรื่องนี้ท่านให้คำอธิบายว่า ผู้หญิงคนนี้เคยเกิดเป็นสุนัข แล้วจึงเกิดเป็นแมว ต่อจากนั้นจึงเกิดเป็นคน แต่จิตยังไม่มีความแรงทางด้านกามารมณ์อยู่ จึงมีนิมิตออกมาให้เห็น

การได้นิมิตมานี้ บางครั้งก็มาตักเตือนให้ระวังอันตรายจากการโดนทำร้ายร่างกายบ้าง จากการรบกวนจากเพศตรงกันข้ามบ้าง ท่านจึงต้องคอยตรวจสอบตลอดเวลา และทำให้พระอาจารย์เปลี่ยนมีความรู้ และเข้าใจในคำเทศน์ของหลวงปู่ตื้อที่ว่า พระหมา พระแมว ฯลฯ โดยไม่มีข้อสงสัยอีกเลย

ท่านก็ได้เล่าอานิสงส์ของการถวายทานต่างๆ ที่ชาวบ้านได้ร่วมถวาย ตามที่ท่านได้พบในนิมิต เช่น ผู้สร้างโรงฉันถวาย ขณะนี้มีปราสาทเกิดอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นปราสาท 6 ชั้น

ผู้ร่วมสร้างบางรายได้เสียชีวิตแล้วก็ได้ขึ้นไปอยู่ในปราสาทด้วย แม้เป็นผู้ร่วมสร้างก็ยังได้อยู่ในปราสาทนั้น โรงฉันซึ่งสร้างด้วยไม้ แม้ไม้บางชิ้นจะเป็นรูทะลุได้ แต่เมื่อเป็นทิพยปราสาทก็ดูสวยงาม เพราะผู้ถวายทานได้ถวายด้วยความบริสุทธิ์ใจ ใช้ไม้เท่าที่หาได้และมีอยู่ไปก่อสร้าง

ท่านได้พูดถึงผู้ที่เข้ามาช่วยงานวัด แต่มีความไม่บริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้ง คือมีชาวบ้านคนหนึ่งมาทำหน้าที่หิ้วปิ่นโตให้พระเณรออกบิณฑบาต แล้วชาวบ้านถวายกับข้าวใส่ปิ่นโตให้

คนผู้นั้นจะแอบเอากับข้าวดีๆ ในปิ่นโตเก็บกลับบ้าน ก่อนจะมาถึงวัด พระอาจารย์เปลี่ยนได้เห็นคนผู้นั้น เป็นเปรตตั้งแต่ก่อนตายมาหาท่านในนิมิต มีท้องใหญ่โตมาก มีปากเท่ารูเข็ม มีลูกอัณฑะใหญ่ยาว

ชายผู้นั้นก็ยอมรับว่า ขโมยของวัดจริง

หลวงปู่ตื้อเคยพูดถึงเรื่องพระหมา พระแมว พระควาย ฯลฯ ว่าเป็นเพราะจิตใจตกต่ำเหมือนสัตว์อย่างนั้น จึงแสดงออกมาให้เห็นสัตว์ต่างๆ พระอาจารย์เปลี่ยนได้ขอให้หลวงปู่อธิบายถึงนิมิตแปลกๆ เช่น เห็นคนเดินมาแล้วเปลี่ยนเป็นสุนัข จากสุนัขเป็นแมว เมื่อเข้ามาใกล้ก็กลับกลายเป็นคนเช่นเดิมนั้น เป็นเพราะจิตมีหลายระดับ แทรกกันเข้ามาตามลำดับ และได้อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคือ

- นิมิตเห็นคนธรรมดา นุ่งห่มด้วยสีเหลือง แสดงว่าจิตของผู้นั้นเป็นผู้มีสมาธิ มีใจเป็นพระ
- คนนุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าขาว แสดงว่าจิตของผู้นั้นเป็นผู้ที่มีศีลห้าเป็นปกติ มีใจเป็นเทพ
- คนนุ่งห่มด้วยชุดดำ แสดงว่าเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์
- ถ้าชุดดำและเป็นเครื่องนุ่งห่มที่ขาด แสดงว่าจิตต่ำลงไปกว่าความเป็นคน

นิมิตที่แสดงว่าต่ำไปเรื่อยๆ ก็คือมาในรูปของควาย สุนัข ถ้าเป็นงูแสดงว่าต่ำหยาบช้าที่สุด มีนิมิตของผู้เป็นพระในลักษณะต่างๆ ที่ท่านพบมาดังนี้

- นุ่งสบง คลุมจีวร พาดสังฆาฏิ แสดงว่ามีศีลสมาธิและปัญญาดี เรียกว่าเป็นพระที่สมบูรณ์
- คลุมแต่จีวรมา แสดงว่ามีสมาธิดี นุ่งสบงใส่อังสะ แสดงว่ามีศีลบริสุทธิ์
- คลุมด้วยจีวรขาด แสดงว่าสมาธิที่เคยมีเสื่อมถอย
- ใส่กางเกง แสดงว่ามีศีลขาด ศีลทะลุ ศีลด่างพร้อย

ขณะที่พระอาจารย์เปลี่ยนอยู่วัดอรัญญวิเวก บ้านปง หากได้รับนิมิตพระดังกล่าวแล้ว ท่านมีเวลาว่างจะไปพบพระผู้นั้นเพื่อตักเตือนให้ประพฤติปฏิบัติดีขึ้น แม้จะอยู่คนละวัดก็ตาม


 

Sample text

Sample Text

Sample Text

 
Blogger Templates