วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ เรื่องกรรม


หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ 
วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย

พระอาจารย์จวน(กุลเชฎโฐ)ได้พบกับเหตุการณ์ที่ปรากฎชี้ชัดให้เห็นเรื่อง “กรรม” อย่างไม่มีข้อข้องใจสงสัย

วันหนึ่งเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ ขณะที่พระอาจารย์จวน (กุลเชฎโฐ) กำลังเดินจงกรม โดยกำหนดจิตภาวนาบริกรรมไปโดยตลอด ท่านก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าอย่างหนึ่งชอนเข้าจมูก มันเป็นกลิ่นเหม็นเน่าที่ไม่ใช่จากซากสัตว์น้อยใหญ่ชนิดใดชนิดหนึ่ง ท่านจึงตั้งวิตกถามจิตขึ้นดูว่า เหม็นอะไรนี่ จิตตอบว่า นี่เป็นกลิ่นเปรต เหม็นเปรต

พระอาจารย์จวนก็เลยตั้งจิตแผ่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้กับเปรตนั้นไป กลิ่นเหม็นนั้นก็หายไป ตอนเช้าหลังกลับจากบิณฑบาตลงสู่โรงฉัน พระอาจารย์จวนสนทนากับพระอาจารย์สอน พระอาจารย์สอนก็ได้กลิ่นเหม็นเช่นกัน และเมื่อตั้งจิตถามดู จิตก็ตอบว่าเป็นกลิ่นเปรต ครั้นแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญกุศลให้เขาไป กลิ่นเหม็นประหลาดนั้นก็หายไปอีกเช่นกัน

คืนนั้น……ขณะที่พระอาจารย์จวนกำหนดจิตเข้าสู่สมาธิ ท่านก็ได้นิมิตเห็นเปรต 2 ตน นั่งคู่อยู่ด้วยกันบนหญ้าผาภูสิงห์น้อย เป็นเปรตผู้หญิงทั้งคู่ มีแต่ผ้านุ่ง ท่อนบนไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ เปลือยตลอด ปล่อยผมยาวรุงรังมีผิวดำคล้ำเศร้าหมองเป็นที่น่าเวทนายิ่ง ท่านจึงถามเปรต 2 ตนนั้นว่า

“ท่านเป็นอะไร ทำไมมาอยู่ที่นี่”

เปรตหญิง 2 ตนนั้นตอบว่า “พวกข้าเป็นเปรตอยู่ที่ภูสิงห์นี่”

“เป็นเปรตมานานแล้ว”

“ทำกรรมอันใดไว้ จึงต้องมาเป็นเปรตเช่นนี้”

เปรตหญิง 2 ตน ก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่เกิดในชาติของมนุษย์ ทั้งสองได้เอาฝักรังไหมซึ่งมีตัวอ่อนอยู่ข้างในมาต้มในน้ำเดือดเพื่อสาวเอาใยไหมมาทอเป็นผ้า ทำกันมานานจนไม่รู้ว่าได้ฆ่าตัวไหมไปมากมายเท่าไหร่ ด้วยบุพกรรมคือบาปอันนี้ เมื่อตายจากชาติมนุษย์จึงมาเกิดเป็นเปรตมีแต่ผ้านุ่ง ผ้าคลุมกายไม่มี

พระอาจารย์จวนถามต่อไปอีกว่า พวกท่านเมื่อเป็นมนุษย์มีชื่อว่าอะไร เปรตหญิงตอบว่า ทั้งสองตนเป็นพี่น้องร่วมท้องพ่อแม่เดียวกัน คนพี่ชื่อ “ทา” น้องสาวชื่อ “สี” ได้รายละเอียดเพียงเท่านี้ พระอาจารย์จวนก็ออกมาจากนิมิต 

และด้วยนิมิตนี้ทำให้ท่านพิจารณาเห็นจริงว่าการฆ่าสัตว์ทำลายสัตว์เป็นบาปจริง ๆ และบาปนี้คือตัว “กรรม” ที่ส่งผลให้มาเป็นเปรตได้รับความทุกข์ทรมานอย่างน่าสลดใจยิ่ง

“กรรม” ที่ “ทา” กับ “สี” ร่วมกระทำการเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่นเป็นอาจิณกระทั่งเป็น “อกุศลกรรม” กองใหญ่ ย่อมมีพลังหนักหน่วงในอันที่จะน้อมนำให้คนทั้งสองมีที่หมายคือ ภพชาติอันเป็นทุกข์แน่นอนอยู่แล้ว และถ้าพี่น้องสองคนนี้ยังมีจิตใจแข็งกระด้างประกอบเข้าไปด้วยอีก กล่าวคือมิได้เลื่อมใสในการบุญ การกุศล 

มีความตระหนี่เสียดายต่อการบริจาคทานจิตถูกกิเลสห้อมล้อมให้มัวเมากับความโลภอยู่ตลอดเวลา จึงเท่ากับพี่น้องสองคนห่างไกลจากกระแสแห่งคุณความดีหนักเข้าไปอีกความเข้มข้นของอกุศลกรรมแห่งตน จึงไม่มีความเจือจางลงไปได้เลย ความเกรี้ยวกราดของอกุศลกรรมนั้นจึงมีพลานุภาพเต็มพิกัด และแสดงผลอย่างเต็มที่

ดังนั้น เมื่อสิ้นชีวิต สิ้นภพชาติจากโลกมนุษย์ จึงไปผุดเกิดในอัตภาพอันเป็นทุกข์ทันที ต้องไปรับผลแห่งกรรมของตนอย่างน่าสลดสังเวช



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

Sample text

Sample Text

Sample Text

 
Blogger Templates