วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

โอวาทธรรมหลวงปู่ศรี มหาวีโร


โอวาทธรรมหลวงปู่ศรี มหาวีโร 
วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด

"ในพรรษานั้นเราป่วยเป็นโรคเหน็บชา เท้าชาทั้งสองด้านแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใช้มือหยิกบริเวณเนื้อขาก็ไม่รู้สึกอะไรเลย มันด้านชาไปหมด หาหยูกยาอะไรก็ไม่มี จึงคิดได้ว่า

“เอายาที่ไหนมารักษามันก็คงไม่หาย เอายาที่เราหาอยู่ทุกวัน นั้นก็คือธรรมโอสถ"

จากนั้นจึงตกลงปลงใจตั้งสัจจะนั่งสมาธิ ขอโอกาสเพื่อนฝูงที่อยู่ร่วมกันว่า

“ผมจะนั่งสมาธิรักษาโรค จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปีก็ตาม ถ้าโรคไม่หายผมจะไม่ออกจากสมาธิ ถึงแม้จะตายก็ตาม ก็ขอตายในท่านั่งสมาธิ น้ำไม่ดื่ม ข้าวไม่ิฉันตั้งใจนั่งสมาธิพิจารณาสังขารเพียงอย่างเดียว ทำสมาธิอย่างเดียวเท่านั้น”

ในขณะที่ปฏิบัตินั้นกำหนดจดจ่อ เร่งสติเข้าอย่างเต็มที่ เร่งสมาธิเข้าอย่างเต็มที่ พิจารณาว่า โรคมันอยู่ตรงไหนมุมใดของร่างกาย พิจารณาจนละเอียดถ้วนถี่ เมื่อพิจารณาธาตุขันธ์ส่วนต่าง ๆ จนละเอียดถี่ถ้วนด้วยสติปัญญาที่คล่องตัว เลือดลมที่เหือดแห้งไปก็กลับไหลเวียนผ่านส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยสะดวกทั่วถึง

เราปฏิบัติแบบสละชีวิตเป็นเวลาไม่นานนัก เพียง ๓ วัน ๓ คืนเท่านั้น ในการปฏิบัติคืนแรกเรายกขาขึ้นเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น ส่วนคืน ๒ และคืนที่ ๓ ไม่ได้ยกขา นั่งทีเดียวตลอดเลย

การตั้งสัจจะของเราไม่ได้ตั้งเพียง ๓ คืน แต่ตั้งไว้ว่าถ้าไม่หายจะไม่ยอมลุกจากที่ แต่พอถึงวันที่ ๓ ของการปฏิบัติโรคร้ายได้หายขาด จึงออกจากสมาธิ โรคเหน็บชาที่ว่าร้าย ๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้งจนถึงทุกวันนี้ เราปฏิบัติแบบสละตายไม่อาลัยในชีวิตนั่นแหละมันถึงได้ ของเหล่านี้มันต้องมีเหตุ จึงมีเรื่องเกิดขึ้น”

พระทุกวันนี้วิ่งเหนือวิ่งใต้หาแต่หยูกยา ถ้าหากว่าเราชำนิชำนาญในทางสมาธิ สมาธิก็สามารถแก้โรค ส่วนท่านผู้ใดถึงระยะที่จะต้องตายแล้ว เอายาอะไรมาแก้ก็ไม่ได้ ส่วนท่านผู้ใดที่ยังไม่ถึงระยะก็สามารถใช้สมาธิแก้โรคได้

ส่วนผู้ไม่มีสมาธิแม้ไม่ถึงวัยที่จะต้องตาย แต่ถ้าหากมีโรคร้ายเกิดขึ้น ก็มีอันต้องตายไปก่อนก็มี เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับบุพกรรมที่เคยทำมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

Sample text

Sample Text

Sample Text

 
Blogger Templates