วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร

หลวงปู่โง่น โสรโย ได้เล่าว่า
ตอนที่พระอาจารย์วังมาอยู่ที่ถ้ำชัยมงคลภูลังกาใหม่ๆ นั้น ท่านก็ประสบเข้ากับความลึกลับของวิญญาณอย่างแปลกประหลาด เหตุเกิดในตอนหัวค่ำคืนวันหนึ่ง ขณะที่พระอาจารย์วังนั่งเจริญภาวนาอยู่นั้น มีแสงสว่างสาดเข้ามาในถ้ำเป็นแสงเย็นๆ เหมือนแสงจันทร์วันเพ็ญเข้าใจว่าเป็นแสงสว่าง หรือ " โอภาส " ตามปกติธรรมดาเวลาทำสมาธิมักจะเกิดขึ้นเสมอ

แสงนั้นสว่างไสวแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกรำคาญ จึงได้ลืมตาขึ้นก็ได้เห็นคนนุ่งขาวห่มขาว 3 - 4 คน เดินเข้ามาหาเนิบๆ ดูลอยๆ พิกล แต่ละคนไม่แก่ไม่หนุ่ม รูปร่างหน้าตาเหมือนชาวบ้านทั่วไปแต่ผ่องใสมีสง่าราศีชวนให้สะดุดใจ พวกเขานั่งลงกราบอย่างสวยงามเบญจางคประดิษฐ์ คนที่เป็นหัวหน้าได้เอ่ยขึ้นว่า " ได้เห็นพระอาจารย์วังขึ้นมาอยู่ที่ภูลังกาตั้งแต่วันแรกแล้ว เพิ่งมีโอกาสมาเยี่ยมเยือนนมัสการในวันนี้ "

ทีแรกพระอาจารย์วังเข้าใจว่า พ่อขาวทั้ง 4 คนเป็นนักปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำใดถ้ำหนึ่ง ในเทือกเขาภูลังกาอันกว้างใหญ่ พากันดั้นด้นมาเพื่อจะสนทนาธรรมด้วย แต่ก็คิดผิดไปถนัดเมื่อพ่อขาวผู้นั้นได้เล่าต่อไปว่า...พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นโอปปาติกะหรือวิญญาณมาจากสวรรค์แดนพรหมโลก มาบำเพ็ญบารมีแสวงบุญที่ภูลังกา เพราะเป็นสถานที่สงัดวิเวกและศักดิ์สิทธิ์มานานตั้งแต่ดึกดำบรรพ์

พวกเทวดาและพรหมชอบพากันมาเยือนโลก เพราะได้เห็นสถานภาพที่แท้จริงของโลกมนุษย์มีสภาวะ ความทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เห็นได้ชัดเจนมาก ทำให้เกิดสลดสังเวชรู้แจ้งในธรรมได้ง่ายกว่าอยู่บนสวรรค์ เพราะบนสวรรค์มีแต่ความสุขสารพัดอันเป็นทิพย์มอมเมาให้หลงเพลิดเพลิน จึงยากที่จะปฏิบัติธรรมให้เห็นแจ้งในความทุกข์

พระอาจารย์วังได้ฟังแล้วก็พิศวงงงงัน เกิดความสงสัยว่าตัวเองฝันไปหรือเปล่า ? ชายทั้งสี่ได้กล่าวอย่างรู้วาระจิตว่าพระอาจารย์วังไม่ได้ฝันไปแต่อย่างใด พวกเขาเป็นพรหมมาพบจริงๆ โดยการแสดงกายหยาบให้เห็นเป็นกรณีพิเศษ เพราะมีวาสนาบารมีเคยผูกพันกันมากับพระอาจารย์วังในอดีตกาลจึงสามารถแสดงกายหยาบให้เห็นได้ตามกฏแห่งกรรมไม่ผิดหลัก " โอปปาติกธรรม " แต่ประการใด

พระอาจารย์วังได้ถามว่า พวกวิญญาณหรือที่เรียกกันตามภาษาบาลีว่า โอปปาติกะนั้นมีกายเป็นทิพย์ที่มนุษย์ไม่สามารถจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เวลาจะแสดงกายหยาบให้มนุษย์เห็นจะต้องใช้เวทมนตร์คาถาไหม ?

พรหมทั้งสี่ได้กล่าวว่า พวกโอปปาติกะหรือวิญญาณชั้นสูง เป็นต้นว่า เทวดา พรหม ที่มีบุญฤทธิ์หรือเคยสำเร็จอัปปนาสมาธิมาก่อนในสมัยเกิดเป็นมนุษย์สามารถแสดงกายหยาบได้ ทำที่โล่งแจ้งว่างเปล่าให้เป็นป่าไม้ภูเขาได้ ล่องหนหายตัวได้ แปลงกายเป็นอะไรก็ได้ เมื่อทำไปแล้วก็จะสูญเสียพลังทิพย์ ต้องมีการ " เข้ากรรม " คือรักษาศีลเจริญเทวธรรมและพรหมธรรม เพื่อเรียกเอาพลังอำนาจทิพย์นั้นกลับมาให้เหมือนเดิม

ที่พิเศษพิสดารได้แก่พวกปีศาจต่างๆ ได้แก่ ผีหรือเปรต เช่น มหิทธิเปรตและเปรตอีกหลายจำพวกที่มีฤทธิ์เป็นผีปีศาจดุร้าย แสดงกายหลอกหลอนได้ต่างๆ นาๆ สามารถทำร้ายมนุษย์และสัตวืได้นั้นมีฤทธิ์เดชได้ด้วยผลกรรมเรียกว่า " กรรมวิปากชาฤทธิ์ "

พวกโอปปาติกะหรือวิญญาณต่างๆ ที่มีบุญน้อยและเทวดาบางจำพวกที่มีบุญฤทธิ์น้อย ( แต่มีเทวธรรมดีงาม ) จะแสดงกายหยาบไม่ได้เลย แต่สามารถทำกลิ่นได้ เป็นต้นว่า กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น กลิ่นธูปเทียน กลิ่นดอกไม้ กลิ่นอาหารคาวหวาน และทำให้เกิดเสียงต่างๆ ได้ เช่น เสียงขว้างปาหลังคาบ้าน เสียงพูด เสียงร้องไห้คร่ำครวญ หรือหัวเราะ เสียงลมพายุเป็นต้น แต่แสดงกายหยาบเป็นตัวตนไม่ได้ พวกผีหรือวิญญาณโอปปาติกะจำพวกนี้มีจำนวนมากที่สุดในโลกวิญญาณ

พรหมทั้งสี่ได้กล่าวต่อไปอีกว่า ภูลังกามี 5 ลูก เป็นเทือกเขาบริเวณกว้างขวางหนาแน่นด้วยต้นไม่ใหญ่น้อย เป็นสวนสมุนไพรนานาชนิด มีโอสถสารวิเศษหายาก มากไปด้วยคูหาเถื่อนถ้ำลึกลับและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับพิสดาร

ทางโลกวิญญาณได้แบ่งภูลังกาเป็นเขตเป็นภูมิต่างๆ เป็นต้นว่า เขตหรือภูมิของพรหมสำหรับพวกพรหมลงมาบำเพ็ญธรรมในโลก เขตหรือภูมิของพวกพญานาค เขตหรือภูมิของพวกปิศาจอสุรกาย เขตหรือภูมิของพวกลับแล ( บังบดหรือคนธรรพ์ ) ซึ่งเป็นผีจำพวกหนึ่งที่มีกายหยาบใกล้เคียงกับมนุษย์เรียกว่า " อมนุษย์ " ผีลับแลมีคุณธรรมสูงถือศีล 5 เคร่งครัด จะเป็นเทวดาก็ไม่ใช่จะเป็นผีก็ไม่เชิง จะเป็นมนุษย์ก็ก้ำๆ กึ่งๆ ครึ่งๆ กลางๆ เพราะมีบุญฤทธิ์พิเศษล่องหนหายตัวได้ และสร้างภพภูมิของพวกตนเป็นบ้านเป็นเมืองอยู่อาศัยได้ แต่เมื่อถึงคาวพวกลับแลสิ้นกรรม ( หมดอายุขัย ) บ้านเมืองของพวกเขาก็จะหายวับเป็นอากาศธาตุไปทันที ภูตผีปีศาจทั้งหลายมีความยำเกรงพวกลับแลมากไม่กล้าตอแยข่มเหงเบียดเบียน

พระอาจารย์วังพอใจในคำตอบของพวกพรหม จึงได้ถามว่า ที่มาในคืนนี้มีกิจธุระอันใด ?

พรหมทั้งสี่ได้ตอบว่า ถ้ำชัยมงคลที่พระอาจารย์วังมาอยู่นี้ อยู่ในเขตของพวกพรหมที่ลงมาปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ จึงอยากให้พระอาจารย์วังเคร่งครัดในพระธรรมวินัย อย่าล่วงเกินธรรมวินัยเป็นอันขาด เพราะจะได้รับอันตรายจากพวกพญานาค พวกลับแลหรือบังบด และพวกยักษ์ที่รักษาป่าม้ภูเขาเถื่อนถ้ำ ห้ามฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิด ให้ฉันได้ก็แต่อาหารพรหมหรืออาหารมังสวิรัติ ( อาหารเจ ) เพราะย่านถ้ำชัยมงคลบนภูลังกาเป็นภูมิหรือเขตบริสุทธิ์ของพวกพรหม

พระอาจารย์วังเห็นว่าคำขอร้องนี้เป็นเรื่องที่ดีงาม ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร การไม่ฉันพวกปลาพวกเนื้อของคาวๆ ก็ดีเหมือนกัน ให้พวกศิษย์ที่เป็นพ่อขาว ( อุบาสก ) และสามเณรไปหาหัวเผือกหัวมันในป่ามาขบฉันแบบฤาษีชีไพรก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ทุกข์ร้อนอะไร ดังนั้นท่านจึงได้ตอบตกลงที่จะทำตามคำขอร้องของพวกพรหมด้วยความยินดีไม่ขัดข้อง

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พวกพรหมอีกหลายองค์ได้ผลัดเปลี่ยนกันมาสนทนาธรรมกับพระอาจารย์วังอยู่เสมอ ท่านบอกพระสหธรรมมิกร่วมสมัย เช่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่อ่อน ว่าเรื่องของพรหมบนภูลังกาเป็นเรื่องลี้ลับพิสดารมาก ไม่อยากจะเล่าให้ใครฟังเลยกลัวเขาไม่เชื่อ หลวงปู่โง่น โสรโย ได้เล่าต่อไปอีกว่า...

นอกจากจะสามารถติดต่อกับพวกพรหมจากสวรรค์พรหมโลก...พระอาจารย์วังยังติดต่อกับชาวลับแลหรือบังบด หรือคนธรรพ์ได้ ติดต่อกับพวกพญานาคได้ รวมถึงยักษ์หรืออสูรหรือรากษสได้เป็นปกติ เพราะที่ภูลังกาเป็นภูมิหรือที่อยู่ของวิญญษณหลายภูมิดังกล่าวมาแล้ว

เกี่ยวกับพวกพญานาค พระอาจารย์วังได้ตักเตือนพระเณรที่อยู่ด้วยบนภูลังกาในสมัยแรกๆ นั้น ได้แก่ พระอาจารย์โง่น โสรโย พระอาจารย์คำ ยัสสะกุลละปุตโต พระอาจารย์วัน อุตตโม สามเณรคำพันธ์ ( ปัจจุบันเป็น พระครูอดุลธรรมภาณ ) สมาเณรสุบรรณ สามเณรใส สามเณรอุทัย มีความว่า...

ภูลังกาเป็นแดนอาถรรพ์ เกี่ยวเนื่องผูกพันอยู่กับภพภูมิผีสางเทวดาสิ่งลี้ลับ มีทั้งฝ่ายดีคือ สัมมาทิฐิ และฝ่ายชั่วคือมิจฉาทิฐิ ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วได้จับตาดูพระสงฆ์องค์เณรอยู่ตลอดเวลาว่า จะประพฤติผิดศีลวินัยข้อใดบ้าง เรียกว่าเขาคอยจ้องจับผิด ถ้าพบว่าพระสงฆ์องค์เณรรูปใด ทำผิดเป็นอาบัติเขาจะเล่นงานทันที เป็นต้นว่า ทำให้เจ็บไข้อาพาธ ทำให้ถึงพิการหรือตายก็ได้

ฉะนั้นขอให้พระเณรทุกรูปรักษาศีลทุกข้อให้เคร่งครัดตามสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมความนึกคิดให้อยู่แต่ทางบุญกุศล อย่านึกคิดชั่วๆ ลามกจกเปรตคึกคะนองเป็นอันขาดหลังจากที่พระอาจารย์วังได้กล่าวตักเตือนแล้วได้ไม่กี่วัน ก็ปรากฏมีพวกงูจำนวนมากได้เลื้อยเพ่นพ่านอยู่ทั่วไป เป็นต้นว่า งูเห่า งูจงอาง งูสิงห์ดง งูเขียว งูเหลือม และงูสีสันแปลกๆ งูเหล่านี้เลื้อยเข้าๆ ออกๆ ถ้ำชัยมงคล ทำให้พระเณรหวาดกลัวกันมาก แต่งูก็ไม่ขบกัดใครผู้ใด

พระอาจารย์วังได้บอกพระเณรและพ่อขาวว่า ห้ามทำร้ายงู ห้ามดุด่า ให้แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศลให้งุทั้งหลายทุกโอกาสที่พบเห็นหรือเกิดการเผชิญหน้าอย่างคับขันอันตราย จิตที่เมตตาของเราจะทำให้งุมีความเป็นมิตรไม่ทำอันตราย เพราะงูมีประสาทสัมผัสพิเศษทางใจรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ได้

ในจำนวนงูทั้งหลายที่ปรากฏ มีงูประหลาดตัวหนึ่งชอบเลื้อยเข้าไปหาพระอาจารย์วังในถ้ำ บางครั้งในเวลากลางวัน บางครั้งในเวลากลางคืน เป็นงูใหญ่ขนาดต้นเทียนพรรษาหรือใหญ่โตขนาดต้นหมากทีเดียว ลักษณะแตกต่างจากงูทั่วไป ที่ลำคอพังพานสีแดง จะแผ่พังพานส่ายโงนเงนแล้วผงกคำนับ 3 ครั้ง ......

....................................................................................

ที่มาของข้อมูลจาก อ. กิตตินันท์ เจนาคม
จากหนังสือชื่อ ชำแหละกฎแห่งกรรม เขียนโดย ร.ต.เจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

Sample text

Sample Text

Sample Text

 
Blogger Templates