วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560

ประวัติปฎิปทาหลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต


ประวัติปฎิปทาหลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต 
วัดบางแก้วผดุงธรรม ต.ท่ามะเดื่อ อ.บางแก้ว จ.พัทลุง

ท่านออกบวช เมื่ออายุได้ 60 ปี แม้ท่านอายุมากท่านก็ไม่ท้อถอยต่อความเพียรปฎิบัติ

“อาตมาบวชเมื่ออายุล่วงกาลผ่านวัยมามาก เมื่อบวชแล้วได้เพียรพยายามประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจังไม่ท้อถอย มีความตั้งใจมั่นคงในชีวิตพรหมจรรย์อย่างที่ท่านกล่าวว่า อุรัง ทัตฺวา ถวายกายตั้งสัจจาอธิฐานเป็นเดิมพันเพื่อพิสูจน์หลักคำสอนในพระพุทธศาสนา เมื่อปฏิบัติไปก็ได้ผลจริง...”

เมื่อท่านบวชได้ ๕ ปี ท่านได้เดินทางไปยังวัดเสนหา จังหวัดนครปฐม ท่านไปพักอยู่กับพระครูวิบูลย์ศีลขันธ์ (เทศน์ นิเทสโก) ในตอนกลางคืนท่านเฝ้าสังเกตอยู่ว่า เวลาท่านตื่นขึ้นมาทีไรก็จะเห็นท่านพระครูวิบูลย์ศีลขันธ์นั่งสมาธิอยู่ทุกครั้ง ด้วยความสงสัยจึงได้ถามท่านพระครูถึงเหตุที่ท่านนั่งสมาธิอยู่ทุกคืน โดยที่ท่านพระครูไม่นอน ท่านพระครูจึงบอกว่า

“ผู้ปฏิบัติต้องนอนน้อย”

ท่านจึงคิดว่าการนอนน้อยทำความเพียรคงเป็นสิ่งที่ดี และท่านรู้สึกประทับใจในพระครู จึงเป็นมูลเหตุให้ท่านถือเนสัชชิกธุดงค์ในภายหลัง เมื่อบวช 10 ปี มีอยู่วันหนึ่งท่านง่วงนอนมากจึงคิดว่า

“เมื่อไม่นอนกลางวัน แต่มันอยากนอนมากนัก ก็ไม่นอนกลางคืนด้วยเสียเลย

ท่านจึงตั้งสัจจะว่าจะไม่นอน 3 เดือน เมื่อตั้งสัจจะได้เพียง 7 วัน ท่านป่วยกะทันหัน มีอาการเส้นท้องตึงแข็งและมีโรคแทรกสารพัดโรคทั้งหมอและพระเฌรขอให้ท่านนอนจึงจะรักษาให้หายได้ ท่านบอกว่าได้อธิษฐานไว้แล้วว่าจะไม่นอน

" ถ้าชาตินี้ไม่จริง ชาติหน้าก็ไม่จริง"

ถ้าจะตายก็ให้ตายไปเลยท่านจึงไม่ยอมนอนต้องนั่งรักษากันไป อาการป่วยก็เป็นมากขึ้น ท่านต้องคลานไปคลานมาในกุฏิทรมานอยู่ 2 เดือนกว่า มีหมอนวดแผนโบราณจากอำเภอเมืองมานวดท้อง ที่แข็งเป็นดาลของท่านนวดไปนวดมาถูกเส้นอย่างไรไม่ทราบท้องหย่อนนิ่มลงหายเป็นปกติและโรคภัยไข้เจ็บสารพัดที่เป็นอยู่ไม่ว่าปวดหัวปวดขาต่าง ๆ ก็หายหมดสิ้นหลังจากนั้นท่านก็ตั้งสัจจะไม่นอนตลอดชีวิ

หลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่หลุย จันทสาโร ลงไปปักษ์ใต้เพื่อไปตามหาพระไม่นอน ถ้าไม่พบ จะไม่กลับ ท่านตามหาอยู่สองปี จึงพบหลวงปู่ ในพ.ศ. 2521 ที่วัดควนเจดีย์ จังหวัดสงขลา ขอทดสอบหลวงปู่ 3 คืน กลางคืนหลวงปู่หลุยพักอยู่ห้องหนึ่งหลวงปู่แยกพักอยู่อีกห้องหนึ่ง หลังจากนั้น หลวงปู่หลุยบอกหลวงปู่ว่า

“หลวงปู่สัจจะแรง ชาติก่อนเป็นฤาษี เกศาศักดิ์สิทธิ์”

หลวงปู่ว่า เกศาศักดิ์สิทธิ์จริงไม่จริงไม่รู้ แต่สัจจะแรงจริงและชอบฉันพืชผักผลไม้และ เป็นคนพูดจริงทำจริงมาตั้งแต่เด็กๆ หลวงปู่หลุย ยังบอกอีกว่า

“หลวงปู่เป็นเจ้าคุณนรฯ องค์ที่ 2 (เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต)”

ท่านเจ้าคุนนรรัตนราชมานิตท่านเขียนไว้ว่า “ของจริงนิ่งเป็นใบ้ของพูดได้นั้นไม่จริง”

หลวงปู่บอกว่า “ที่อ่านออกบอกไม่ได้ ที่เห็นได้ง่ายพูดไม่ออก”

เมื่อท่านเล่าถึงหลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านเล่าว่า “หลวงปู่ขาวบอกว่าท่านเป็นทหารเอกของ พระพุทธเจ้า

หลวงปู่ท่านมีเมตตามากไม่มีประมาณผู้ที่ไปกราบท่านที่วัดจะรู้ได้เป็นอย่างดี

ท่านจะให้ความสำคัญเมตตากับผู้ที่ไปกราบท่านเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มาจากที่ไกลๆ อย่างเช่นมีคนที่มาจากกรุงเทพฯ ไปกราบท่าน ท่านจะกล่าวกับคนๆ นั้นว่า

“เธออยู่กรุงเทพฯ เราอยู่พัทลุง ระยะทางห่างกันเป็นพันกิโลเมตร เธอศรัทธามาหาเราขนาดนี้ ถ้าเราไม่จริงเราตกนรก”

หรือบางครั้งท่านจะพูดว่า “ถ้าไม่จริงคอขาดเลย”

เมื่อมีพระจากต่างจังหวัดมากราบท่าน แม้ว่าพระที่มาหาท่านนั้นจะอ่อนพรรษากว่ามากก็ตามถ้าท่านนั่งอยู่บนอาสนะที่สูงกว่าท่านจะลงมานั่งกับพื้นระดับเดียวกันและจะถามว่า
“อยู่ที่ไหนหรือ มาหาเพราะมีธุระอะไร ประสงค์สิ่งใดหรือ”

พระที่จำพรรษาอยู่ในวัดจะพากันเข้าไปกราบท่าน ท่านก็เมตตาถามว่า “มาทำไมหรือ”

พระก็ตอบว่า “มาบีบนวดให้หลวงปู่ครับ”

ท่านบอกกับพระเหล่านั้นว่า “ผมสบายแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกพวกคุณยังไม่สบาย รีบกลับไปทำความเพียรภาวนาเสียจะได้สบาย”

เกี่ยวกับเรื่องปาฏิหาริย์ท่านพูดว่า “มีฤทธิ์แล้วยังต้องตาย เอาแบบไม่เกิดไม่ตายไม่ดีหรือ

“เมื่อเรียนถามท่านว่า” หากมีภัยอันตรายเกิดขึ้นเล่าจะทำอย่างไร?”

ท่านเมตตาตอบว่า “ผู้ที่สิ้นความกำหนัดแล้วเทวดาเขารักษา”

หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า พระผู้ใหญ่ที่ท่านรู้จักมี หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่หลุย จันทสาโร, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่แหวน สุจิณโณ, ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน, หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
ท่านไปพบหลวงปู่เทสก์ครั้งแรกขณะหลวงปู่เทสก์ท่านไปเป็นเจ้าคณะจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ เมื่อหลวงปู่เข้าไปกราบหลวงปู่เทสก์ตอบว่า

“รู้แล้ว คนจริงไม่ต้องพูดกันมากคำสองคำก็พอ คนไม่จริงพูดกันไม่รู้จบ”

ต่อมาเมื่อไปกราบหลวงปู่เทสก์อีกท่านบอกว่าให้พิจารณาธาตุอย่างเดียวพอ หลวงปู่เล่าว่า ทำไมท่านรู้ล่ะว่าหลวงปู่กำลังพิจารณาธาตุอยู่

เมื่อหลวงปู่ไปกราบหลวงปู่เทสก์ที่วัดหินหมากเป้ง หลวงปู่เทสก์ท่านไม่ยอมให้ไปบิณฑบาตกับพระอื่น ท่านให้ไปกับท่าน ไปบิณฑบาตที่กุฏิแม่ชี ซึ่งเขาใส่บาตรแต่ข้าวเปล่า กลับมาวางบาตรแล้วหลวงปู่ไม่รับอาหารอื่นอีก พอประเคนอาหารคาวหวานหลวงปู่ก็ไม่รับ หลวงปู่เทสก์ บอกให้หลวงปู่ถอนสัจจะเสียสักครั้ง หลวงปู่ตอบหลวงปู่เทสก์ว่า

“ไม่ได้ท่านอาจารย์ พอถอนครั้งหนึ่งได้แล้วก็จะถอนได้อีกไม่เอาตั้งสัจจะแล้วต้องทำจริง”

วันนั้นท่านฉันแต่ข้าวเปล่า วันรุ่งขึ้นพอไปรับบิณฑบาตอีกมีอาหารคาวหวานใส่บาตรมากมาย

ท่านเคารพนับถือหลวงปู่เทสก์มากเมื่อท่านไปกราบหลวงปู่เทสก์ในปี พ.ศ. 2529 หลวงปู่เทสก์บอกว่าหลวงปุ่ยังติดเมตตาอยู่ หลวงปู่บอกว่า จริงท่านยังติดเมตตาอยู่พอไปกราบหลวงปู่เทสก์ ครั้งสุดท้ายที่ถ้ำขาม ปี พ.ศ. 2536 หลวงปู่เล่าว่า

เช้านั้นหลวงปุ่เทสก์ก็ให้พระมานิมนต์ไปพบแล้วก็ดึงหูท่านมาใกล้ๆ พูดกรอกเข้าไปในหูว่า ที่ท่านเทศน์เมื่อวานจริงหมด วันนี้หลวงปู่เทสก์จะเทศน์ให้ท่านฟังบ้างคือให้ท่านลดเมตตาเพราะแก่แล้ว

(หลวงตามหาบัวท่านก็คงจะเห็นว่าหลวงปู่ชรามากแล้วเหมือนกัน) เมื่อไปกราบ หลวงตามหาบัวที่กรุงเทพฯ หลวงตามหาบัวบอกหลวงปู่ว่า
“ให้ละเมตตา (ใช้อุเบกขาให้มาก) เราสบายแล้วคนอื่นยังไม่สบายก็เป็นเรื่องของเขา เราสบายแล้วนะ พอแล้วนะ เข้าใจนะ”

แต่หลวงปู่ยิ้มๆ พวกลูกศิษย์ก็หูผึ่งกลัวว่าท่านจะรับคำแต่หลวงปู่ท่าน ไม่ได้รับคำ

โอวาทธรรม

คนเราเกิดมาภายใน 7 วัน ตายภายใน 7 วัน ถ้าสร้างสัจจะ 7 วัน จะได้เลข 1 เมื่อเลข 1 มีต่อไป เลข 10 ก็มี

ถือสัจจะความจริงใจประพฤติสิ่งใด ก็ให้ได้จริง กินข้าวมื้อเดียวไม่นอนกลางวันพยายามกวาดใบไม้เพื่อไม่ให้ง่วงนอนหลังจากการรับประทานอาหารแล้วจะมีอาการง่วงนอนเพราะเมาอาหาร

ฉะนั้นต้องเดินหรือทำงานเพื่อไม่ให้ง่วงนอนให้อาหารย่อยขณะเดียวกันก็ภาวนาพุทโธ เมื่อถือให้จริงจะอัศจรรย์จริง ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความสุขจิตจะตื่นตลอดเวลา เมื่อจิตตื่นตลอดเวลา จิตจะไม่ว่าต่ออุปทานและถ้ารู้แดนเกิดแห่งทุกข์ ความทุกข์ย่อมดับไม่เหลือ

การตั้งตัว ตั้งสัจจะถือศีลกินข้าวมื้อเดียว ไม่นอนกลางวัน ไม่พูดจาตลอด 7 วัน เป็นการบำเพ็ญอธิศีล อธิศีล นี้มีกำลังผลักดันในตัวเองเมื่อครบ 7 วัน ได้เลข 1 แล้วกำลังอธิศีลจะผลักดันเหมือนกงล้อ หมุนไปให้ได้ เลข 2 – 3 และ เลขต่อๆ ไปเอง

แม้ชาตินี้ยังไม่หลุดพ้น และไปเกิดอีกกี่ร้อยกี่พันชาติก็ตามก็จะเป็นผู้มีใจใฝ่ในศีล ในธรรม มีอุปนิสัยหาทางปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นและแม้ว่าหันเหไปทางสำมะเลเทเมาอย่างไรก็ตาม

สักวันหนึ่งจะคิดขึ้นเอง ใจจะมีกำลังบังคับตนให้กลับมาประพฤติปฏิบัติธรรมต่อไปจนกว่าจะถึง เลข 10 หลุดพ้นจากวัฏสงสาร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

Sample text

Sample Text

Sample Text

 
Blogger Templates